กติกาและบทลงโทษ บริษัทจดทะเบียนฯ ที่เจตนาฉ้อโกงหรือคิดไม่ซื่อ ควรมากกว่าการ “การระงับลงทุน” หรือไม่? มาตรการทางกฎหมายและทางสังคม อาจเป็นอีกทางเลือก สร้างกติกาใหม่ “รวยแล้วไม่โกง”
ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง!...ไม่ใช่ชื่อภาพยนตร์ หรือบทเพลงใดๆ แต่นี่คือ “ของจริง”...
กับแนวคิดที่จะรวมกลุ่มนักลงทุนประเภทสถาบัน ให้ได้มากถึง 32 ราย แต่ละรายมีฐานเงินลงทุนนับหมื่นนับแสนล้านบาท
รวมๆ กันแล้ว ว่ากันว่า...กลุ่มนี้ มีเม็ดเงินมากถึง 10.8 ล้านล้านบาท ซึ่งนั่นมากพอจะ “ชี้นำ” และ/หรือ สร้างกฎเกณฑ์และกติกาใดๆ ขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างบรรทัดฐานและมาตรฐานการลงทุนเพื่อสังคม
สิ่งนี้...เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่าน ณ กระทรวงการคลัง เมื่อมีการประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือด้านการลงทุนอย่างรับผิดชอบ (ESG Collaborative Engagement) ของนักลงทุนสถาบันในการลงนามแนวปฏิบัติ “การระงับลงทุน” (Negative List Guideline) ครั้งสำคัญ
โดย “ปลัดกระทรวงการคลัง” นายประสงค์ พูนธเนศ ในฐานะประธานกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ทำหน้าที่เป็นทั้งประธานและสักขีพยานในการประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือดังกล่าว พร้อมกับย้ำว่า การตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนสถาบันนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรต้องพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) หรือ ESG เพื่อผลักดันให้นักลงทุนตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนอย่างรับผิดชอบ (Responsible Investment)
นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการ กบข. ในฐานะตัวตั้งตัวตีของโปรเจ็กต์ยักษ์นี้ กล่าวว่า การลงทุนโดยพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จะช่วยสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่สม่ำเสมอและลดความเสี่ยงให้แก่สมาชิกในระยะยาว อีกทั้งยังก่อให้เกิดพัฒนาการที่ยั่งยืนของตลาดทุนอีกด้วย ซึ่งการรวมตัวในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมของกลุ่มนักลงทุนสถาบันชั้นนำของประเทศไทย ในการขับเคลื่อนการลงทุนตามหลัก ESG โดย กบข. ในฐานะที่เป็นผู้ริเริ่มผลักดันจนเกิดความร่วมมือครั้งสำคัญนี้ ได้เล็งเห็นตรงกันกับนักลงทุนสถาบัน รวม 32 ราย ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมกันกว่า 10.8 ล้านล้านบาท ทั้งจากสำนักงานประกันสังคม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และบริษัทประกันชีวิต ในการประกาศเจตนารมณ์ร่วมลงนาม แนวปฏิบัติ “การระงับลงทุน” เพื่อยกระดับการลงทุนของประเทศไทยสู่การลงทุนอย่างรับผิดชอบ (Responsible Investment) ตามมาตรฐานสากล
สำหรับความร่วมมือกันครั้งนี้ มีสาระสำคัญ คือ กรณีที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กระทำผิด พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ในประเด็นที่ร้ายแรง หรือดำเนินงานขัดแย้งต่อหลักการ ESG และก่อให้เกิดผลกระทบทางลบอย่างมีนัยสำคัญ กลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ร่วมกันลงนามฯ จะเข้าประสานงานกับบริษัทเพื่อหาทางแก้ปัญหาหรือหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาที่รุนแรงจะช่วยป้องกันผลกระทบทางลบที่อาจเกิดกับผู้ถือหุ้นและสังคมในภาพรวม รวมถึงนักลงทุนแต่ละรายได้ โดยตกลงร่วมกันที่จะไม่เข้าลงทุนเพิ่มเติมในบริษัทที่มีปัญหานั้นเป็นระยะเวลา 3 เดือน หรือจนกว่าจะแก้ไขปัญหาสำเร็จ เพื่อผลักดันให้บริษัทกลับมาดำเนินธุรกิจที่มีความยั่งยืนและสอดคล้องกับหลักการ ESG ต่อไป
โดยการร่วมลงนามแนวปฏิบัติ “การระงับลงทุน” ของนักลงทุนสถาบันครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเป็นผู้นำด้าน ESG ที่ กบข. จะดำเนินการอีกหลายโครงการในอนาคต โดย กบข. เชื่อมั่นว่า การลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Investment) จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดีแก่การลงทุนในประเทศ และมีส่วนช่วยขับเคลื่อนตลาดทุนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” แล้ว เชื่อว่า...ความยั่งยืนที่จะเกิดขึ้น ไม่เพียงแค่การ “บอยคอต” เฉพาะกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กระทำผิด พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ในประเด็นที่ร้ายแรง หรือดำเนินงานขัดแย้งต่อหลักการ ESG และก่อให้เกิดผลกระทบทางลบอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยการแค่ไม่ลงทุนเป็นเวลา 3 เดือน หรือจนกว่าจะแก้ไขปัญหาสำเร็จเท่านั้น
หากความผิดมันรุนแรง และหากกลุ่มทุนสถาบันฯคิดจะป้องกันกันผลประโยชน์ของชาติและประชาชนกันจริงๆ แล้ว...จำเป็นต้องสร้างเกราะและกติกาให้มากและเข้มข้นกว่านี้
ที่สำคัญ...มาตรการทางกฎหมายและมาตรการกดดันทางสังคม ในยุค “โซเชียลมีเดีย...เฟื่องฟู” เช่นนี้ จะต้องเข้มขนและรุนแรงสุดๆ
อย่าให้ “คนโกง” ได้มีเวที แม้กระทั่ง “ที่ว่าง” อยู่ในแวดวงการลงทุน แวดวงเศรษฐกิจ และแวดวงสังคมไทย โดยเด็ดขาด!!!.
โดย..กากบาทดำ