แผนเชือด “ดาวสภาฯ”..”รังสิมันต์ โรม”จากคนฝั่งตรงข้าม โทษฐาน เป็นนักการเมืองที่มีเงินเดือนมากกว่า 1 แสน แต่ไม่ยอมปิดบัญชี “หนี้การศึกษา” กลายเป็น “มุขแป้ก!” เมื่อ “ผจก.กยศ.” ยืนยันเอง เจ้าตัวหรือลูกหนี้รายอื่นๆ เลือกจะ “ปิดหนี้” คราเดียว หรือ “ทยอยผ่อนคืน” ย่อมไม่ผิดกติกา
รักใครชอบใคร? ในทางการเมือง เป็นเรื่องที่ “วิญญูชน” มักเก็บไว้ในใจ เพราะศาสนาหนึ่ง และอีกหนึ่งคือ เรื่องของการเมือง ที่คนตั้งแต่ 2 คนขึ้น...ลงได้คุยกันแล้ว หากถูกคอ ล้อกันไปเป็นปี่เป็นขลุ่ย! ก็ไม่เป็นประเด็นปัญหา
แต่หากยืนคนละฝั่ง ความเห็นไม่ตรงกันแล้ว อย่าว่าแต่...คนรู้จักเลย แม้แต่เพื่อนสนิท ญาติใกล้ชิด หนักถึงขั้น...พี่น้อง ลูกเมียสามี “ตีกันตาย” ให้ได้เห็นและเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง
สำหรับ ”รังสิมันต์ โรม” อดีตแกนนำนักศึกษา “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ที่วันนี้...ผันตัวเองไปเป็น “นักการเมือง” แห่งสภาผู้แทนราษฎรปี 2562 ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่จัดเป็นอีก “ดาวรุ่ง” ยุคนี้ กลายเป็นอีกหนึ่งคน ที่มีทั้ง “คนชื่นชม” และ “คนชิงชัง” มากมายในสังคมไทย
ล่าสุด เขากลายเป็นบุคคลที่ถูกอ้างอิงถึง ในทำนอง “เขาจะให้ อนาคตใหม่แก่เยาวชนคนหนุ่มสาวได้อย่างไร ??? ในเมื่อเขายังไม่แบ่งปันอนาคตทางการศึกษา ให้พวกคุณเลย”
สิ่งนี้...ปรากฏอยู่ในหน้าเพจของ นางสาวศุภมาส เสนะเวส แกนนำกลุ่ม ฬ รักชาติ ที่โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ของตัวเอง เมื่อวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา
รายละเอียดลองไปหาอ่านกันเอง แต่ที่แน่ๆ เจ้าของเฟสบุ๊กรายนี้ คงไม่ใช่แฟนคลับของ ส.ส.โรม คนนี้อย่างแน่นอน
ประเด็นคือ “รังสิมันต์ โรม” เคยพูดทำนองว่า...เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกหนี้ 5.6 ล้านคน ที่วันนี้...ยังมีภาระผูกพันที่จะต้องชำระคืนหนี้ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยจะใช้สิทธิผ่อนชำระตามที่ได้ตกลงกันไว้ คือ เดือนละ 2,000 บาท เป็นเวลา 15 ปี
ซึ่งเรื่องนี้ “ชัยณรงค์ กัจฉปานันท์” ผู้จัดการ กยศ. ยืนยันกับผู้สื่อข่าวระหว่างแถลงถึงมาตรการแก้ไขปัญหาลูกหนี้ กยศ. และช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่ค้างชำระหนี้ ผ่าน 5 แนวทาง ที่กระทรวงการคลัง อันเป็น “ต้นสังกัด” เมื่อช่วงสายของวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยเขาย้ำว่า...
ลูกหนี้ กยศ.ทุกคนจะใช้สิทธิ์ชำระคืนเงินต้น พร้อมดอกเบี้ย ตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ 15 ปี หรือจะตัดจ่ายในคราวเดียวกันเลย หรือทยอยโปะจ่าย ก็ได้...ไม่ผิดกฎหมาย และไม่ขัดกติกาใดๆ ยกเว้น! เบี้ยวหนี้ และเบี้ยวแม้กระทั่ง เบี้ยปรับ!
สำหรับกรณี ”รังสิมันต์ โรม” นั้น ผู้จัดการ กยศ. บอกว่า...ตนคงไม่เอ่ยถึงใครเป็นกรณีพิเศษ ไม่เฉพาะลูกหนี้ที่เป็นนักการเมืองหรือลูกหนี้ทั่วไป เนื่องจากมีกรอบกฎหมายว่าด้วยเรื่อง “ข้อมูลส่วนบุคคล” ที่ตนหรือใครก็ไม่ควรก้าวล่วงกัน
“ข้าราชการการเมืองที่เป็นลูกหนี้ของ กยศ.นั้น มีอยู่แต่ไม่มากนัก และส่วนใหญ่ ล้วนกู้ยืมเงินจาก กยศ.ก่อนที่จะเข้ามาทำงานการเมือง แต่เนื่องจากเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล จึงไม่สามารถให้รายละเอียดเป็นรายบุคคลได้ อีกทั้งคนกลุ่มนี้ ก็ยังคงได้รับสิทธิ์ในการผ่อนชำระหนี้คืน กยศ.ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ไม่เกิน 15 ปี โดยยังไม่พบปัญหาการค้างชำระแต่อย่างใด”..”ชัยณรงค์” ระบุชัด
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ กยศ.เอง หลังจากเดินเครื่อง “หักบัญชีเงินเดือน” ของลูกหนี้ กยศ. จากหน่วยงาน/องค์กรต้นสังกัดของลูกหนี้ ที่พบว่า...มีคนกลุ่มนี้ประมาณ 1.2 ล้านคน จากต้นสังกัด ที่เป็นทั้ง...หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น บริษัทเอกชนขนาดใหญ่-กลาง-เล็ก รวมถึงกลุ่มห้างหุ้นส่วนจำกัด รวมกันกว่า 1 แสนแห่งทั่วประเทศ
จากนี้...ได้วางเป้าหมายจะเพิ่มการหักบัญชีเงินเดือนของลูกหนี้ที่ทำงานในองค์กรต้นสังกัด จากปัจจุบันที่มีราว 3 แสนคน เพิ่มเป็น 7 แสนคนในปี 63 และ 1 ล้านคนในปี 64 โดยในจำนวนนี้ จะมีลูกหนี้ กยศ. ในกลุ่มของข้าราชการการเมือง รวมถึงกลุ่มบริษัทเอกชนอื่นๆ เข้ามาอยู่ในบัญชีหักเงินเดือนด้วย
เขายอมรับว่า ที่ผ่านมา กยศ.มีรายได้จากการจัดเก็บเบี้ยปรับผิดนัดชำระหนี้ประมาณปีละกว่า 1,000 ล้านบาท แต่เพราะ กยศ.ไม่ได้หวังจะหารายได้จากส่วนนี้ ดังนั้น การลดเบี้ยปรับ จึงไม่กระทบกับประมาณการรายได้เดิมแต่อย่างใด ส่วนการพักชำระหนี้เป็นเวลา 1 ปีนั้น น่าจะกระทบการรับรู้รายได้มากกว่า แต่ก็แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น
มูลเหตุที่ ผู้จัดการ กยศ. พูดเช่นนี้ นั่นเพราะ...เขาเพิ่งแถลงข่าวเกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาลูกหนี้ กยศ. และช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่ค้างชำระหนี้ 5 แนวทาง ประกอบด้วย...
1. ลดเบี้ยปรับร้อยละ 80 สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มที่ค้างชำระหนี้และปิดบัญชีในครั้งเดียว ช่วงวันที่ 1 กันยายน 2562 – 29 กุมภาพันธ์ 2563
2. ลดเบี้ยปรับร้อยละ 75 เฉพาะผู้กู้ยืมเงินกลุ่มก่อนฟ้องคดีที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ (ไม่ค้างชำระ) โดยทั้ง 2 กลุ่มมีผู้ได้รับสิทธิ 1.1 แสนคน และเริ่ม1 กันยายน 2562 – 29 กุมภาพันธ์ 2563
3. พักชำระหนี้ 1 ปี สำหรับผู้กู้ยืมที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฉพาะกลุ่มผู้กู้ยืมก่อนฟ้องคดี แยกเป็นกลุ่มผู้ที่มีงวดชำระเป็นรายปี จะพักชำระหนี้ในงวดปี 63 และกลับมาชำระหนี้ ในวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ส่วนกลุ่มผู้ที่มีงวดชำระเป็นรายเดือน จะพักชำระหนี้ 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนถัดไปที่ กยศ.อนุมัติ โดยระหว่างพักชำระหนี้จะไม่ถือว่าผู้กู้ยืมผิดนัดชำระหนี้ พบว่ามีผู้ได้สิทธิพักชำระหนี้ 335,000 ราย ทั้งนี้ สามารถลงทะเบียนขอรับสิทธิตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่กำหนดได้ทาง www.studentloan.or.th/promotion ตั้งแต่1 กันยายน 2562 – 29 กุมภาพันธ์ 2563
4. ปรับลดอัตราเบี้ยปรับหรือค่าธรรมเนียมกรณีผิดนัดชำระเงินกู้ยืมคืน จากอัตราปัจจุบัน (ร้อยละ 12-18 ต่อปี) เหลืออัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการลดภาระหนี้ของผู้กู้ยืมเงินที่ค้างชำระให้สามารถผ่อนชำระเงินคืนได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนงวดที่ผิดนัดชำระจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 ยังคิดอัตราเบี้ยปรับเท่าเดิม
และ 5. ปรับเพิ่มค่าครองชีพรายเดือนให้ผู้กู้ยืมทุกระดับการศึกษาอีกเดือนละ 600 บาท/คน โดยผู้กู้ยืมระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญ ปรับเพิ่มจาก 1,200 บาท เป็น 1,800 บาท ระดับ ปวช./ปวส./ปริญญาตรี ปรับเพิ่มจาก 2,400 บาท เป็น 3,000 บาท
ทั้งนี้ ปัจจุบัน กยศ.มีผู้กู้ยืมที่ได้รับโอกาสทางการศึกษา 5,615,065 ล้านราย ประกอบด้วย ผู้กู้ที่อยู่ระหว่างการศึกษาและปลอดหนี้ 803,222 ราย ผู้กู้ที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ 3,661,599 ราย ผู้กู้ที่ชำระเสร็จสิ้นแล้ว1,093,041 ราย และอื่นๆ 57,203 ราย เป็นเงินงบประมาณให้กู้ยืมกว่า 605,354 ล้านบาท สำหรับผลการรับชำระหนี้ในปีงบประมาณ 62 คาดว่าจะได้รับชำระหนี้ 30,000 ล้านบาท และขอยืนยันว่า ปีนี้ไม่มีการจำกัดโควต้าการให้กู้ยืมเงินสำหรับผู้กู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยทั้งหมดนี้ กยศ.ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นผลมาจากการชำระหนี้ที่ดีขึ้น และมาตรการหักเงินเดือน
ว่ากันจนถึงตรงนี้ กรณีของ “รังสิมันต์ โรม”.. “ลูกหนี้ กยศ.” ที่ “ศุภมาส เสนะเวส“แกนนำกลุ่ม ฬ รักชาติ นำมาโจมตีในเฟซบุ๊กตัวเองนั้น จึงเป็นเพียง “ข้อกล่าวหา” ที่ได้รับการยืนยันจากทางผู้จัดการ กยศ.แล้วว่า...ไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด? และเป็นความชอบธรรม ที่แม้ว่า...ลูกหนี้รายได้จะมีผลตอบแทน ทั้งในส่วนของเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง-เบี้ยประชุม หรือรายได้ส่วนอื่นๆ กระทั่ง มีรายได้แต่ละเดือนมากกว่า 100,000 บาทก็ตาม
ทั้ง ”รังสิมันต์ โรม” หรือลูกหนี้ กยศ. รายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น...ข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ ข้าราชการทหาร-ตำรวจ แม้กระทั่ง อัยการ ผู้พิพากษา รวมถึงบุคคลทั่วไป ต่างมีสิทธิ์ที่จะผ่อนชำระตามข้อตกลงเดิมทุกประการ
และสิ่งนี้...ก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินงาน หรือเงินทุนหมุนเวียนที่จะนำมาปล่อยกู้ให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษาคนใด เนื่องจาก กยศ.ยังคงได้รับคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยทุกปีๆ ละไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท และเงินจำนวนนี้ ก็มาเพียงพอจะนำไปใช้เพื่อปล่อยกู้ให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษา รุ่นใหม่ๆ โดยไม่กระทบกับเงินกองทุนฯ หรือต้องขอจากงบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด
ไม่เพียงแค่นั้น กยศ. ยังมีเงินสำรอง หากความต้องการเงินกู้เพื่อการศึกษาในแต่ละปีของ “ผู้กู้” จะมีมากเกินกว่าปีละ 30,000 ล้านบาท กยศ.ก็พร้อมจะปรับเพิ่มวงเงินได้ตลอดเวลา โดยไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างกองทุนหรือการดำเนินงานของ กยศ.
ทางกลับกัน เนื่องเพราะสังคมไทย...กำลังก้าวสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” จำนวนนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่จะมาขอกู้เงินจาก กยศ. มีลดน้อยถอยลงไปทุกปี จึงต้องปรับเพิ่ม ทั้งวงเงินกู้ยืนเพื่อการศึกษาและปรับเพิ่มเบี้ยเลี้ยงรายวัน ในรูปของ “ค่าครองชีพรายเดือน” กันอย่างที่เห็น
สรุปว่า...งานนี้ ฝ่ายที่ “ชิงชัง” “รังสิมันต์ โรม” พร้อมกับยัดเยียดข้อกล่าวหา “เขาจะให้ อนาคตใหม่แก่เยาวชนคนหนุ่มสาวได้อย่างไร ??? ในเมื่อเขายังไม่แบ่งปันอนาคตทางการศึกษาให้พวกคุณเลย” จึงตกไป หลังจากผู้จัดการ กยศ. ออกมาชี้ชัด จนผู้คนในสังคมไทย...เกิดปรากฏการณ์ “กระจ่างตา!” กันไปแล้ว
ส่วนใครจะฟ้องร้อง...ดำเนินคดีเอากับใคร? หรือไม่? อย่างไร? งานนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ไม่เกี่ยว...เราก็แค่...เอาความจริงมาบอกต่อให้กับสังคมไทยได้รับรู้ เท่านั้น!!!
โดย กากบาทดำ