ยังคงเป็นประเด็นสุดฮอต เป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์”
กับนโยบาย “เร่งด่วน” ของ “บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่มอบหมายให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เดินหน้าเร่งบูรณาการจัดตั้ง “ศูนย์สกัดข่าวปลอม” หรือ Fake News Center ที่ถือเป็น “วาระเร่งด่วน” ของรัฐมนตรีดีอีคนใหม่ที่จะต้องดำเนินการให้สัมฤทธิ์ผลภายในระยะ 3 เดือนจากนี้
ทันทีที่ปรากฏข่าวนี้ออกมา สังคมต่างพากันตั้งข้อสงสัย หวาดระแวง ศูนย์ Fake news Center ที่ว่านี้มีเป้าหมายเพื่อสกัดกั้นคู่แข่ง กำจัดฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ หรือกำลังหาช่องทางจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความเห็นบนพื้นที่สาธารณะ หรือถึงขั้นตั้งข้อกังขากำลังหาทาง “ยัดเยียด” ข้อกล่าวหาให้พลพรรคฝ่ายค้าน
บ้างก็ว่าเป็นการดำเนินงานที่ “ซ้ำซ้อน”กับหน่วยงานอื่นที่ดำเนินการอยู่แล้ว..
แต่หากทุกฝ่ายจะได้พิจารณาข้อมูลของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่รายงานล่าสุดถึงจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้งานอยู่ในปี 2560 มีจำนวนทั้งสิ้น 121.53 ล้านเลขหมาย จากจำนวนประชากร 69.11 ล้านคน นั่นหมายความว่า หลายคนนั้นใช้มือถือมากกว่า 1-2 เลขหมาย
ขณะที่ We Are Social เอเจนซีจากสหราชอาณาจักร และ Hootsuite ผู้ให้บริการการตลาดบนโซเชียลมีเดีย ระบุว่า มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกในเดือนมกราคม 2561 มากกว่า 4,000 ล้านราย ขณะที่ประเทศไทยนั้นประชากร 57 ล้านคน สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้แล้ว โดย 55 ล้านคน เป็นกลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นประจำ และ 51 ล้านคน ใช้งาน Social Media เป็นประจำ โดยที่กว่า 49 ล้านคนนั้นยังใช้ Social Media ผ่านโทรศัพท์มือถืออีกด้วย
โดยคนไทยโดยเฉลี่ยแล้ว ใช้อินเทอร์เน็ต 9 ชั่วโมง 11 นาทีต่อวัน (นับรวมทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) ใช้เวลาอยู่กับ Social Media 3 ชั่วโมง 11 นาทีต่อวัน (นับรวมทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์)ใช้เวลาดู Online Streaming หรือ Video On Demand 3 ชั่วโมง 44 นาทีต่อวันใช้เวลาฟังเพลงแบบ Music Streaming 1 ชั่วโมง 30 นาทีต่อวัน
เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า นับวันแนวโน้มของโลกอินเทอร์เน็ต และโซเชียล มีเดีย จะทวีความสำคัญมากขึ้นทุกขณะ และข่าวสารที่ปลิวว่อนอยู่บนโลกโซเชียลนั้น จำเป็นจะต้องดำเนินการคัดกรองก่อนที่ผู้คนโดยทั่วไปจะไม่สามารถแยกแยะได้ออกว่า อะไรคือข่าวจริง ข่าวปลอม อะไรคือข้อเท็จจริง หรืออะไรที่เขาเรียกว่า “Fake news”
ย้อนรอยข่าวปลอม-ข่าวปล่อย!
ข่าวปลอม ข่าวปล่อย ข่าวลวง (Information Operation หรือ IO) นั้น มีมานับทศวรรษแล้ว ทั้งที่หวังผลหรือหวังเล่นสงครามจิตวิทยา ยิ่งในห้วงที่ ”เทคโนโลยีสื่อสารรวมอยู่บนปลายนิ้ว” ด้วยแล้ว..
ปฏิบัติการปล่อยข่าว แบบไม่ต้องป้องปาก กระซิบกระซาบกลายเป็นเรื่องพื้น ๆ ที่ทำได้ง่ายยิ่งกว่า “ปลอกกล้วยเข้าปาก” เสียอีก!
อย่างที่ “บิ๊กป้อม - พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” เคยโอดให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนเองนั้นเผชิญกับข่าวปลอมมา 4-5 ปีมาแล้ว ไม่เห็นผู้สื่อข่าวจะถาม ซึ่งหากย้อนหลังไปติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ “บิ๊กป้อม” ทั้งแง่ดี แง่ร้าย ผรุสวาทฯลฯ จะเห็นได้ว่าในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมานั้น เผชิญกับข่าวปลอม ข่าวปล่อย สารพัดรูปแบบจริงๆ
วันดีคืนดี ก็มีกระแสข่าว “บิ๊กป้อม” เครียดหนักจนเกิดอาการเป็นลมต้องเข้ารับการรักษาตัวยังโรงพยาบาล จนเจ้าตัวต้องออกมาปฏิเสธหลายครั้งหลายหน วันดีคืนดีก็มีข่าว “บิ๊กป้อม” ซดกาแฟแล้วละ 12,000 บาท โดยใช้งบสวัสดิการ มีการแฉรูปเจ้าตัวและเอกสาร ลงบิลล์รายการจ่ายที่ว่า ที่พอโค้ตดูให้ดีแล้วกลับกลายเป็น “หนังคนละม้วน” สุดท้ายทุกฝ่ายก็ถึงบางอ้อว่าทั้งหมดล้วนเป็น “ Fake news ล้วน ๆ”
หลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไป ในช่วงโค้งสุดท้ายของการประกาศผลเลือกตั้งก็มีกระแสข่าว “นายกรัฐมนตรีคนนอก” คือ ดร.กบ - นายอำพน กิตติอำพน องคมนตรี โผล่ขึ้นมาในโลกโซเชียล และมีการแชร์ข่าวนี้กันไปทั้งบ้านทั้งเมือง ทำเอาผู้คนฮือฮากันไปพักใหญ่กว่าจะสืบเสาะหาต้นตอของ “เจ้ากรมข่าวลือ” ที่ว่านั้นไม่ได้ และไม่รู้ที่มาที่ไปด้วยว่ามาจากไหน
ที่ฮือฮาที่สุดก็คือกรณีมีการนำเสนอข่าวในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า เว็ปไซต์ Investing.com ที่อ้างเป็นเว็ปข่าวด้านการเงิน เศรษฐกิจและการลงทุน ได้จัดอันดับเศรษฐีภูมิภาคเอเชียประจำปี 2019 จำนวน 45 คน โดยมีชื่อของ “บิ๊กป้อม - พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ในเวลานั้น ติดทำเนียบเศรษฐีเมืองไทยและถึงขั้นเป็นเศรษฐีระดับเอเซียไปกับเขาด้วย
แม้เว็ปไซต์เจ้ากรรมจะไม่ได้เปิดเผยจำนวนทรัพย์สิน รวมทั้งที่มาที่ไปของทรัพย์สินและความร่ำรวยที่ว่ามาจากไหน แต่สื่อมวลชนไทย-เทศ และโดยเฉพาะโลกโซเชียลต่างพากันตีปี๊บแชร์ข่าวนี้กันเป็นเรื่องราวใหญ่โต กว่าจะรู้ว่าเป็นข่าวปลอม Fake news ที่แทบหาต้นตอไม่เจอก็แทบจะเอาปี๊บคลุมหัวกันไปทุกสำนักข่าวนั่นแหล่ะ
ในวันเปิดใช้รัฐสภาใหม่วันแรก 20 สิงหาคม ก็มีข่าวฮือฮาในโลกโซเชียลที่แชร์กันว่อนเน็ต ว่า พลเอกประวิตร เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องน้ำรัฐสภา จนถูกนำส่งโรงพยาบาลให้แพทย์ทำการรักษา ก่อนที่ วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร ที่คุ้นเคยกับบิ๊กป้อมเป็นอย่างดี จะโพสต์เฟซบุ๊คในเวลาต่อมาว่าข่าวดังกล่าวนั้นเป็น “ข่าวปลอม” เพราะตลอดทั้งวันดังกล่าว “บิ๊กป้อม” ต้องเข้าร่วมประชุม ครม. ที่ทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่เช้ายันบ่าย 3 เสร็จแล้วก็เดินทางไปประชุมพรรคพลังประชารัฐยันค่ำ และปกติแล้ว “บิ๊กป้อม” ไม่มีความจำเป็นต้องไปสภาแต่อย่างใด
ศูนย์ IO ปอท.ยังแทบไปไม่เป็น!
ก่อนหน้านี้ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ได้แสดงความกังวลกับสถานการณ์ข่าวปลอม ข่าวลวง Fake news บนโลกไซเบอร์ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นและมีความหลากหลายขึ้น
โดยพันตำรวจเอกศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก บก.ปอท. เคยให้สัมภาษณ์สื่อถึงสถานการณ์ข่าวลวง ข่าวปลอม หรือ Fake news ในสังคมออนไลน์นี้ว่า มีแนวโน้มว่าจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น หลังสถิติการเข้าแจ้งความดำเนินคดีมีจำนวนเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
โดย “เฟคนิวส์” ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองและความมั่นคง มีความร้อนแรงมากกว่าเฟคนิวส์ประเภทอื่นๆ เนื่องจากมีความพยายามสร้างข่าวลวง เพื่อทำลายชื่อเสียงรัฐบาลที่กำลังบริหารงานประเทศอยู่ โดยกลุ่มที่หวังผลทางการเมือง และกลุ่มที่หวังผลเป็นรายได้จากยอดผู้เข้าชมและแชร์ ประกอบกับการที่ประเทศไทยกำลังจะจัดให้มีการเลือกตั้งในปีหน้า
ทำให้เฟคนิวส์ประเภทนี้จัดอยู่ในความกังวลอันดับหนึ่งของเจ้าหน้าที่ “ผลกระทบที่เกิดขึ้นทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงมันมากกว่าเฟคนิวส์ประเภทอื่น เราใช้หลักการทางอาชญาวิทยา ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในการต่อต้านเฟคนิวส์”
ทั้งนี้ ทาง ปอท. ได้จัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการด้านการข่าว” หรือ Information Operations : IO ต่อต้านเฟคนิวส์” ขึ้น โดยศูนย์ฯ นี้ ทำหน้าที่ติดตามข้อมูลอันเป็นเท็จที่ถูกปล่อยเข้ามาในระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง สังคม ความมั่นคง สื่อลามก การก่อการร้าย เมื่อพบแล้วก็จะนำมากากบาทสีแดง พร้อมข้อความว่าข้อมูลนี้เป็นเท็จ เป็นข่าวปลอม อย่าส่งต่อ แล้วนำกลับเข้าสู่ระบบ เพื่อเตือนให้ประชาชนในสังคมออนไลน์รู้ว่า อย่าหลงเชื่อจนตกเป็นเหยื่อของการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
นอกจากนี้ ยังมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นในการปราบปรามดำเนินคดีเจ้าของเฟสบุ๊ค/เพจ เว็บไซต์ และบุคคลที่เข้าข่ายกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ หลายคดี เช่น เพจเฟสบุ๊ค “KonthaiUK”, “Raststas.com” รวมถึง อดีตนักการเมืองควบคู่ไปด้วย ซึ่งผลจากปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่พบว่า จำนวนประชาชนที่เข้าไปชอบและแชร์ข้อความหรือเนื้อหาที่เข้าข่ายผิดกฎหมายมีจำนวนน้อยลง
แต่การทำงานของศูนย์ IO ปอท. รับมือบรรดา Fake news ได้มากน้อยแค่ไหน ทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจกันดีอยู่ ก็คงด้วยเหตุนี้ ในวันที่พลเอกประวิตร เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โดยมี นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี พร้อมข้าราชการในสังกัดที่ร่วมให้การต้อนรับนั้น รองนายกฯจึงมอบนโยบายเร่งรัดให้ดีอีเร่งจัดตั้ง “ศูนย์ข่าวกรอง Fake news Center” ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน
“ดีอี” ขานรับ ย้ำต้องบูรณาการ!
ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้กล่าวถึงการทำงานของศูนย์ Fake News Center นี้ว่าจะต้องดำเนินไปอย่างรวดเร็ว โดยเบื้องต้นนี้ เมื่อศูนย์ตั้งขึ้นมาแล้วจะมีทีมงานที่ติดตามและคัดกรองข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ หากพบว่าข่าวไหนเป็นข่าวปลอม ทีมงานก็จะหาวิธีตอบโต้ รวมถึงเผยแพร่ข่าวที่ถูกต้องต่อไป
“ผมเชื่อว่าศูนย์ฯนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพราะปัจจุบันมีความเข้าใจผิดจากกระแสข่าวลวงเกิดขึ้นทุกวัน ส่งผลกระทบต่อประชาชนมาโดยตลอด” พุทธิพงษ์ ระบุ พร้อมกล่าวว่า ล่าสุดกระทรวงดิจิทัล ได้จัดประชุมร่วมกับ 15 หน่วยงานเพื่อเร่งรัดจัดตั้ง “ศูนย์สกัดข่าวปลอม” ที่ว่านี้ เช่น กรมสรรพากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักข่าวกรองแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กองทัพบก และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อผนึกกำลังตั้งศูนย์กรองข่าวปลอม Fake News Center ที่ว่านี้
โดยเน้นสื่อสารข่าวการเตือนภัยพิบัติ และข่าวลวงที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยจะมีการหามาตรการและแนวทางในการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ร่วมกับหน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันให้เกิดศูนย์กรองข่าวปลอม (Fake News Center) อย่างเป็นรูปธรรมภายใน 3 เดือนหลังจากนี้
“ผมเชื่อว่าศูนย์ฯ นี้ จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพราะปัจจุบันมีความเข้าใจผิดจากกระแสข่าวลวงเกิดขึ้นทุกวัน ส่งผลกระทบต่อประชาชนมาโดยตลอด”
งานนี้ก็ต้องจับตาดูกันว่า ศูนย์กรองข่าวปลอม จะสกัดกั้น Fake News ในโลกโชเชี่ยลและอินเตอร์เน็ตที่ไร้พรมแดนได้มากน้อยแค่ไหน?
..