
ธุรกิจอะไรที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนระบบ BESS?
ก่อนที่จะวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบการในไทยจะได้รับจากการลงทุนพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน (ระบบ BESS) ของภาครัฐและเอกชน เราจะอธิบายสัดส่วนค่าใช้จ่ายแต่ละประเภทในการพัฒนาระบบ BESS
ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานทั้งหมด (ระบบ BESS) กระจุกตัวในค่าใช้จ่ายของแบตเตอรี่ ระบบไฟฟ้า และระบบปรับอากาศและระบบดับเพลิง ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ราว 47% 15% และ 12% ของค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบ BESS ทั้งหมด ตามลำดับ นอกจากนั้น ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายของระบบบริหารจัดการพลังงาน ตู้เก็บแบตเตอรี่ และงานก่อสร้างอาคารสำหรับติดตั้งระบบ BESS29

เมื่อพิจารณาเฉพาะส่วนประกอบและบริการที่ผู้ประกอบธุรกิจระบบ BESS สามารถซื้อและใช้บริการในประเทศ พบว่า ผู้ประกอบการเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะซื้อและใช้บริการติดตั้งแบตเตอรี่ ระบบไฟฟ้า และระบบปรับอากาศและดับเพลิงของระบบ BESS รวมทั้งตู้เก็บแบตเตอรี่ และใช้บริการก่อสร้างจากผู้ประกอบการในไทย จึงทำให้ผู้ประกอบการที่จัดจำหน่ายสินค้าและให้บริการที่กล่าวมาข้างต้น มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนพัฒนาระบบ BESS ซึ่งจะวิเคราะห์ในลำดับถัดไป
เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายของระบบ BESS ในส่วนที่สามารถใช้บริการและซื้อภายในประเทศ Krungthai COMPASS ประเมินว่า ผู้ประกอบการในไทยจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบ BESS ในช่วงปี 2574-78 ราว 2.62 แสนล้านบาท30 ซึ่งผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์มี 5 กลุ่ม ดังนี้…
1. กลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายแบตเตอรี่ ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบ BESS มากที่สุด โดยคาดว่าจะมีรายได้จากการจำหน่ายและให้บริการติดตั้งแบตเตอรี่แก่ผู้ลงทุนระบบ BESS ราว 1.36 แสนล้านบาท30 โดยผู้จัดจำหน่ายแบตเตอรี่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนระบบ BESS มากกว่าผู้ผลิตแบตเตอรี่ในไทย เพราะผู้ผลิตแบตเตอรี่ในไทยส่วนใหญ่ผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่มีโอกาสที่จะเข้ามาขายและให้บริการติดตั้งแบตเตอรี่ควรเป็นตัวแทนจำหน่ายแบตเตอรี่ของแบรนด์ชั้นนำที่มีประสิทธิภาพรอบการชาร์จและคายประจุของแบตเตอรี่ไม่ต่ำกว่า 85%31 เช่น CATL BYD Huawei และ Tesla32 เนื่องจากผู้ลงทุนระบบ BESS ในไทยมักเลือกใช้แบตเตอรี่ของแบรนด์ชั้นนำที่มีคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้นโดยตัวอย่างผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ เช่น บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)30
2. กลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับระบบไฟฟ้า เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า inverter และอุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบ BESS มากรองลงมา โดยคาดว่าจะมีรายได้จากการจัดจำหน่ายและให้บริการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าดังกล่าวแก่ผู้ลงทุนระบบ BESS ราว 4.34 หมื่นล้านบาท33 ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยที่มีโอกาสที่เข้ามาขายอุปกรณ์ไฟฟ้าดังกล่าวให้กับผู้ลงทุนระบบ BESS ควรจัดจำหน่ายอุปกรณ์ดังกล่าวของแบรนด์ชั้นนำของโลกที่มีมาตราฐานสากล อย่าง IEC 62109 และ IEC 60076 เช่น Huawei ABB และ SUNGROW เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของอุปกรณ์ไฟฟ้าแก่ผู้ว่าจ้าง โดยตัวอย่างผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ เช่น บมจ. กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง บจก.บี.กริม เทคโนโลยี และ บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง เป็นต้น33
3. กลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบดับเพลิงและระบบปรับอากาศของระบบ BESS ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบ BESS มากเป็นอันดับสาม โดยคาดว่าจะมีรายได้จากการจำหน่ายและให้บริการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวราว 3.65 หมื่นล้านบาท33 ทั้งนี้ ผู้ประกอบการในไทยที่มีโอกาสที่เข้ามาขายอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบดับเพลิงและระบบปรับอากาศให้กับผู้ลงทุนระบบ BESS ควรเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ดังกล่าวของแบรนด์ชั้นนำ อย่าง Hitachi Siemens Tyco รวมทั้งควรจัดจำหน่ายสินค้าที่ผลิตตามมาตราฐาน ISO 9001 ISO 14001 และ NFPA 855 เพราะผู้ลงทุนระบบ BESS มักเลือกใช้อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบดับเพลิงและระบบปรับอากาศของระบบ BESS ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว โดยตัวอย่างผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ เช่น บจก.จอห์นสัน คอนโทรลส์-ฮิตาชิ แอร์ คอนดิชั่นนิ่ง (ประเทศไทย) และ บจก. เฟลมเทคนิค อี แอนด์ ซี เป็นต้น33
4. กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายตู้คอนเทอร์เนอร์สำหรับเก็บแบตเตอรี่ ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบ BESS มากเป็นอันดับสี่ โดยคาดว่าจะมีรายได้จากการจำหน่ายและให้บริการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าว ราว 2.55 หมื่นล้านบาท34 ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยที่มีโอกาสที่เข้ามาจัดจำหน่ายและให้บริการติดตั้งตู้คอนเทอร์เนอร์สำหรับเก็บแบตเตอรี่ ให้กับผู้ลงทุนระบบ BESS ควรมีประสบการณ์ในการรับงานติดตั้งตู้คอนเทอร์เนอร์ของแบตเตอรี่ และสถานีไฟฟ้าย่อย และมีการรับประกันการซ่อมบำรุงหลังติดตั้งเสร็จ รวมทั้ง ได้รับมาตราฐาน ISO 9001 ISO 14001 และ ISO 45001 เพราะผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าเอกชน และ กฟผ ซึ่งคาดว่าจะเป็นผู้ลงทุนระบบ BESS รายใหญ่ มักเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติดังกล่าว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่สาธารณชน โดยตัวอย่างผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ เช่น บจก. นิตโต้ โคเกียว บีเอ็ม (ประเทศไทย) และ บจก.ไทย รีเฟอร์34
5. กลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคารและฐานราก ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบ BESS มากเป็นอันดับห้า โดยคาดว่าจะมีรายได้จากการให้บริการก่อสร้างอาคารที่ใช้ในการติดตั้งระบบ BESS ราว 1.99 หมื่นล้านบาท34 ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพในการรับงานก่อสร้างอาคารที่ใช้ในการติดตั้งระบบ BESS ควรมีประสบการณ์ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และสถานีไฟฟ้าแรงสูงและได้รับมาตราฐาน ISO 9001 ISO 14001 และ ISO 45001 เพราะผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าเอกชน และ กฟผ ซึ่งคาดว่าจะเป็นผู้ลงทุนระบบ BESS รายใหญ่มักเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติดังกล่าว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่ชุมชนที่อยู่รอบระบบ BESS โดยตัวอย่างผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ เช่น บมจ.คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย)34

การลงทุนพัฒนาระบบ BESS ในไทย มีแนวโน้มที่จะสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการพัฒนาระบบ BESS อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ธุรกิจระบบ BESS และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในไทย มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ภาครัฐและภาคเอกชนของไทยสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากผู้ประกอบการขนาดใหญ่จากต่างประเทศ ตามแนวทางดังต่อไปนี้ ซึ่งอธิบายในหัวข้อถัดไป
แนวทางดึงดูดเม็ดเงินลงุทน-กระตุ้นให้ธุรกิจระบบ BESS มีแนวโน้มเติบโต
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในธุรกิจระบบ BESS และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในไทยมากขึ้น ภาครัฐและภาคเอกชนสามารถปฏิบัติตามแนวทาง ดังต่อไปนี้..
1. ภาครัฐสามารถให้เครดิตภาษีเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบการที่ใช้ระบบ BESS ที่มีส่วนประกอบที่ผลิตภายในประเทศ เพื่อดึงดูดผู้ผลิตส่วนประกอบของระบบ BESS มาตั้งฐานการผลิตในไทย โดยหากภาครัฐอนุญาตให้ผู้ประกอบการที่ใช้ระบบ BESS ที่มีส่วนประกอบที่ผลิตในไทยสามารถลดหย่อยภาษีได้มากขึ้น คาดว่ากระตุ้นให้ผู้ประกอบการหันมาซื้อระบบ BESS ที่ผลิตในประเทศมากขึ้นตาม ซึ่งจะดึงดูดให้ผู้ผลิตแบตเตอรี่จากต่างประเทศเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยมากขึ้นและทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบ BESS มีแนวโน้มเติบโตในระยะข้างหน้า
ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวคล้ายคลึงกับนโยบายของสหรัฐฯที่ให้เครดิตภาษีเป็นจำนวนเงินสำหรับผู้ประกอบการที่ใช้ระบบ BESS ที่มีส่วนประกอบที่ผลิตในประเทศตามที่กำหนด35
2. ภาครัฐและเอกชนควรมีการประกันราคารับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำและจำกัดราคารับไฟฟ้าสูงสุดของโครงการระบบ BESS เพื่อให้ผู้ลงทุนมีความคุ้มค่าในการลงทุนในระยะยาว รวมทั้งเพื่อควบคุมค่าไฟฟ้าไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ดึงดูดให้ผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนในธุรกิจระบบ BESS มากขึ้น โดยแนวทางนี้คล้ายคลึงกับโครงการ LDES cap and floor ของสหราชอาณาจักร ที่ภาครัฐจะจ่ายเงินชดเชยกับโครงการระบบ BESS ที่มีรายได้ต่ำกว่าข้อกำหนดขั้นต่ำของโครงการ แต่หากรายได้สูงกว่าข้อกำหนดของโครงการ ภาครัฐแบ่งรายได้ในส่วนที่เกินแก่ผู้ใช้ในระบบ36
3. ภาครัฐสามารถพิจารณาเปิดตลาดพลังงานไฟฟ้า (Energy Market) ในหลากหลายรูปแบบ เช่น ตลาดพลังงานล่วงหน้า (Future Market) เป็นต้น โดยที่ไม่คิดค่าบริการสายส่งไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ลงทุนและให้บริการระบบ BESS มีทางเลือกในการจัดจำหน่ายไฟฟ้าที่หลากหลายมากขึ้น รวมทั้ง เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ไฟฟ้าจากแหล่งต่างๆในแต่ละช่วงเวลาและในราคาที่ต้องการ ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าในระยะยาว ซึ่งคล้ายคลึงกับตลาดพลังงานไฟฟ้าของประเทศเยอรมนี37

บทสรุป:
ตามร่างแผน PDP 2024 ซึ่งเป็นร่างแผนพัฒนากำลังผลิตกำลังไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับล่าสุด ภาครัฐมีแผนที่จะจัดสรรโควต้ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่จะเกิดใหม่ให้กับระบบกักเก็บพลังงาน (ระบบ BESS) ทั้งหมด 10,485 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2575-78 โดยหากพิจารณาในแง่ของวัตถุประสงค์ในการจัดสรรโควตากำลังการผลิตไฟฟ้าให้ระบบ BESS ที่ระบุในร่างของแผน PDP 2024 และต้นทุนทั้งหมดที่ภาครัฐต้องแบกรับภาระ พบว่า รูปแบบที่ภาครัฐลงทุนระบบ BESS ด้วยตนเองเป็นหนึ่งในรูปแบบในการดำเนินธุรกิจระบบ BESS ที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี ภาครัฐสามารถลดภาระงบประมาณในการพัฒนาระบบ BESS โดยการจัดสรรโควตาให้ภาคเอกชนไปดำเนินธุรกิจระบบ BESS ในรูปแบบสัญญาเช่า
การลงทุนพัฒนาระบบ BESS ตามกำลังการผลิตไฟฟ้าของระบบ BESS ที่ระบุไว้ในร่างของแผน PDP 2024 ไม่ว่าจะโดยภาครัฐหรือภาคเอกชน คาดว่าจะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในการพัฒนาระบบ BESS ราว 2.91 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2574-78 และสร้างผลตอบแทนให้กับภาคเอกชนราว 6.7% ต่อปี ในกรณีที่ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจระบบ BESS ในรูปแบบสัญญาเช่า
การลงทุนระบบ BESS ดังกล่าว คาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการพัฒนาระบบ BESS ราว 2.62 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2574-78 โดยธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายแบตเตอรี่จะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนดังกล่าวมากที่สุด
อย่างไรก็ดี เพื่อให้ธุรกิจระบบ BESS และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ภาครัฐและภาคเอกชนของไทยสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากผู้ประกอบการขนาดใหญ่จากต่างประเทศ ตามแนวทางดังต่อไปนี้
1) ภาครัฐสามารถให้เครดิตภาษีเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบการที่ใช้ระบบ BESS ที่มีส่วนประกอบที่ผลิตภายในประเทศ
2) ภาครัฐและเอกชนควรมีการประกันราคารับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำและจำกัดราคารับไฟฟ้าสูงสุดของโครงการระบบ BESS
3) ภาครัฐสามารถพิจารณาการเปิดตลาดพลังงานไฟฟ้า (Energy Market) หลากหลายรูปแบบ เช่น ตลาดพลังงานล่วงหน้า (Future Market) เป็นต้น โดยที่ไม่คิดค่าบริการสายส่งไฟฟ้า
หมายเหตุ :
29 ข้อมูลจาก Mordor Intelligence(2567), BloombergNEF, NREL และรวบรวมและวิเคราะห์โดย Krungthai COMPASS
30 ข้อมูลจาก กฟผ. และรวบรวมและคำนวณโดย Krungthai COMPASS
31 ข้อมูลจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (DEDE (2567))
32 ข้อมูลจาก กฟผ.(2565), DEDE(2566), Huawei (2566) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS)
33 ข้อมูลจาก กฟผ. และรวบรวมและคำนวณโดย Krungthai COMPASS
34 ข้อมูลจาก กฟผ. และรวบรวมและคำนวณโดย Krungthai COMPASS
35 ข้อมูลจาก EPA United States Environmental Protection Agency และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS
36 ข้อมูลจาก WHITE & CASE (มี.ค.2568) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS
37 ข้อมูลจาก EY (มิ.ย.2567), สมาร์ทกริด ไทยแลนด์ (ก.ค.2568) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS)