ความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย ซึ่งแนวโน้มปีนี้จะโตน้อยต่ำกว่า 3% ไม่เป็นไปตามรัฐบาลหวัง ..
เวลาที่เหลืออีกแค่ไตรมาสสุดท้าย สิ่งนี้คงทำให้ปัญหาปากท้องไม่อาจรองรับแรงกระแทกอื่นได้เพิ่ม จากผลกระทบเช่นเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเสี่ยงถดถอยสูง สงครามการค้าสหรัฐกับจีน
ที่ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ แถลง ไม่จำเป็นต้องมีข้อตกลงกับจีนก่อนเลือกตั้งปีหน้า รวมทั้งสหภาพยุโรปป่วนหากเกิดฮาร์ดเบร็กซิท
ดังนั้น เมื่อมีปัจจัยลบเพิ่มเติม จากเหตุโรงกลั่นน้ำมันใหญ่ 2 แห่งของซาอุดีอาระเบียโดนโจมตี ซึ่งอ้างกันว่าอิหร่าน น่าจะมีส่วนเกี่ยว แม้หลายฝ่ายมองว่าราคาน้ำมันโลกไม่น่าจะพุ่งขึ้นสูงนานเหมือนวิกฤตน้ำมันที่ผ่านมา เพราะซาอุดีฯ ออกมายืนยันว่าจะซ่อมโรงงานดังกล่าว เสร็จได้ก่อนกระทบราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูง
อีกทั้งปัจจัยการใช้เชื้อเพลิงโลกเปลี่ยน เช่นสหรัฐกลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันจากเทคโนโลยีผลิตเชลออยล์ มีการใช้พลังงานทดแทน อาทิ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล ใช้โซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าแทนแก๊ซ
ขณะที่ผู้ใช้น้ำมันในประเทศไทย มีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อพยุงราคาขายปลีกน้ำมันและก๊าซไม่ให้กระทบชาวบ้าน ซึ่งมีการใช้เฉลี่ยวันละกว่า 160 ล้านลิตรไปได้อีกหลายเดือน ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันโลกที่ปรับขึ้น กับค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐว่าแข็งแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่อยากให้ประมาท เพราะถ้าราคาน้ำมันโลกปรับขึ้นสูงเป็นเวลานาน จะเกิดต้นทุนดัน (Cost push) ให้เงินเฟ้อสูง ซึ่งเงินเฟ้อจากคอสต์พุชจะแก้ไขค่อนข้างยาก ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยไปรักษาเสถียรภาพ และดอกเบี้ยที่สูงจะกระทบให้เศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่แล้ว ทรุดตัวลงไปอีก
รวมทั้งเมื่อมองย้อนไปดูศึกตะวันออกกลางที่ผ่านมา ไม่ค่อยจะออกมาเป็นอย่างที่คาด อย่างสงครามเมื่อครั้งอิรักบุกคูเวต เดือนสิงหาคม 2533 หรือเกือบ 30 ปีมาแล้ว
หลายฝ่ายมองว่า น่าจะยืดเยื้อ ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกปรับขึ้นทุกวัน ดันเงินเฟ้อสูงอย่างรวดเร็ว ราคาทองปรับสูง ดอกเบี้ยปรับขึ้น และเมื่อกองทัพพันธมิตรนำโดยสหรัฐเข้าไปตีอิรักจนถอยออกไปจากคูเวตได้ในต้นปี 2534 หรือผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปี สถานการณ์ก็กลับมาสู่ภาวะปรกติอย่างรวดเร็ว ราคาน้ำมันโลกกลับมาปรกติ และอีก 4-5 เดือนดอกเบี้ยโลกก็เข้าสู่ภาวะปกติ
ถัดจากนั้นสงครามสหรัฐกับอิรัก ซึ่งสหรัฐอ้างว่าอิรักพัฒนาอาวุธร้ายแรงเป็นอันตรายต่อมนุษย์ชาติ บีบให้ซัดดัม ฮุสเซน ประธานาธิบดีอิรักลาออกไม่เช่นนั้นจะโจมตี
แต่โลกส่วนใหญ่เห็นว่าควรรอผลตรวจสอบจากคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติที่จะรายงานมาต้นปี 2546 ก่อน เมื่อผลสอบออกมายังไม่ชัดต้องขอเวลาสอบเพิ่ม ทางกองกำลังผสม สหรัฐ-อังกฤษ-ออสเตรเลีย จึงไม่รอ
ทั้งนี้ด้วยกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่ามาก ทำให้ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า สงครามครั้งนี้คงไม่น่ายืดเยื้อน่าจะสั้นเหมือนศึกคูเวต แค่สัปดาห์เดียวกรุงแบกแดดน่าจะแตก เพราะเริ่ม 2-3 วันแรกที่บุกอิรัก เมืองต่างๆ แตกโดยง่าย จนกองกำลังผสมเข้าไปถึงชานเมืองกรุงแบกแดดได้โดยง่าย ทำให้ความอึมครึมสงครามหมดไป ช่วงเริ่มบุกราคาน้ำมันโลกลดลงรวดเดียวถึง 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ราคาหุ้นในตลาดสหรัฐ ยุโรป ปรับขึ้น
แต่จากนั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยน เมืองต่างๆ ของอิรักที่แตกยังไม่แตกจริง มีการสู้รบจนกองกำลังที่จะบุกกรุงแบกแดดต้องหยุด สหรัฐต้องขอเพิ่มงบประมาณ และส่งทหารเข้าไปเพิ่มอีกกว่าแสนคน ราคาน้ำมันโลกกลับพุ่งสูง เงินเฟ้อโลกพุ่ง ดอกเบี้ยดีดกลับ สงครามยืดเยื้อมาถึงปลายปี 2554 หรือเกือบ 9 ปี จึงประกาศสิ้นสุดสงครามอย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ หากมองด้านดุลการค้าโลก กูรูเศรษฐกิจมองว่า ชาติตะวันตกอย่างสหรัฐ กับกลุ่มยุโรป ที่เสียดุลให้กับประเทศแถบเอเชีย โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น มาต่อเนื่อง แม้สหรัฐจะพิมพ์เงินดอลลาร์สหรัฐออกมาใช้โดยไม่ต้องมีสินทรัพย์หนุนหลังเหมือนเงินสกุลอื่น เพราะใช้กองทัพคุมอยู่ทั่วโลก แต่เงินดอลลาร์สหรัฐที่จ่ายออกไป ก็กลับมาฝาก หรือมาใช้รัฐบาลอเมริกา หรือบริษัทเอกชนในอเมริกา ในรูปพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ และหุ้นสามัญ ทำให้สหรัฐต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ทั่วโลกหรือคนในสหรัฐที่ถือพันธบัตรหรือหุ้นทุกปี
เมื่อเป็นเช่นนี้ การจะลดขาดดุลส่วนใหญ่ ชาติตะวันตกจึงกดดันให้ประเทศอื่น ต้องเปิดเสรีสินค้า บริการ ภาคการเงิน จะไปทำเหมือนเมื่อก่อนที่อังกฤษลดขาดดุลการค้า ด้วยการขายฝิ่นให้จีน จนเกิดสงครามฝิ่น จีนต้องเปิดเมืองท่าหลายเมืองให้ ต้องให้เช่าฮ่องกงยาว
ส่วนปัจจุบันนี้ที่ทำได้คือ ปั่นราคาน้ำมันขายให้ประเทศแถบเอเชีย เพราะสหรัฐ กับยุโรป เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลก
จากปัจจัยทั้งหมด จึงไม่ควรประมาทกับสงครามอิหร่านครั้งนี้ เพราะอาจเกิดหรือไม่เกิด จะเกิดสั้นหรือยาว ผู้เกี่ยวข้องควรจะมีแผนสำรองไว้รับกับผลกระทบน้ำมันที่อึมครึม ..
เพราะเศรษฐกิจที่อ่อนไหวอยู่แล้ว หากโดนปัจจัยลบอื่นอีก ปัญหาปากท้องอาจสะเทือนถึงการเมืองได้!
โดย-คนฝั่งธนฯ