ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์เฟสบุ๊คในหัวข้อ “เร่งรีบสัญญา “ไฮสปีด-3 สนามบิน” จนผิดปกติ?”
มีสาระสำคัญ ระบุว่า บอร์ดรถไฟฯ และ ครม.ประยุทธ์(2)จำเป็นต้องพิจารณาโครงการ “ไฮสปีด-3 สนามบิน” อย่างรอบคอบเป็นพิเศษ เพราะ..
(ก) โครงการมูลค่ากว่า 2 แสนล้าน ถ้ามีเงินทอนแม้ไม่กี่เปอร์เซนต์ ก็เป็นเงินก้อนโต
(ข) มีอย่างน้อย 2 บุคคล ที่เดิมนั่งเก้าอี้อยู่ที่ ซีพี แล้วย้ายมาเป็นเสนาบดีประยุทธ์(1) โดยไม่เว้นเวลา ซึ่งมีส่วนร่วมอนุมัติโครงการนี้ จึงทำให้ปัญหาประโยชน์ทับซ้อน มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ
(ค) เป็นที่รู้กันว่า มีนายทุนกว้านซื้อที่ดินใน อีอีซี ตุนไว้ ซึ่งถึงแม้โครงการรถไฟจะขาดทุน แต่จะได้กำไรจากที่ดินมหาศาล
โครงการนี้มีปัญหา ไม่สามารถทำสัญญากันได้ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 ก.ย. ครม.เศรษฐกิจได้สั่งเร่งโครงการนี้อีกครั้งหนึ่ง อ้างว่ามีเงื่อนไขข้อเสนอของ ซีพี จะหมดอายุภายในเดือน พ.ย.นี้
ข่าวข้างล่างระบุว่า กลุ่มซีพียังวิตกกังวลเรื่องดัชนีชี้วัดผลงาน หรือ เคพีไอ หากยอดผู้โดยสารไฮสปีดไม่ได้ตามเป้า
ผมวิเคราะห์ว่า เป็นเรื่องธรรมดา เพราะด้านเอกชนที่เล็งจะขายที่ดินแก่ต่างชาตินั้น จะใช้เพียงแค่พิมพ์เขียวและสัญญาไฮสปีดเป็นหลัก ส่วนรายได้จริงจากกิจการรถไฟนั้น ไม่สำคัญเท่า แต่ด้านการรถไฟฯ เนื่องจากอ้างส่วนแบ่งรายได้จากกิจการรถไฟเป็นเหตุผลหลัก ผู้บริหารจึงย่อมจะถูกเช็คบิลในอนาคตได้ ถ้าหากยอดผู้โดยสารแผ่วมากกว่าที่คิด
เรื่องแก้ปัญหาผู้บุกรุกก็ซับซ้อน
“การรถไฟฯ ยอมรับว่ายังไม่ได้ลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับผู้บุกรุก ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 400 ครัวเรือน กระจายอยู่ตามเส้นทางทั่วไป แต่อนาคตอาจมีบุกรุกเพิ่ม 800-900 ครัวเรือนก็เป็นได้ ซึ่งผู้บุกรุกมักเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้จะไล่รื้อไปแล้วก็อพยพไปที่ใหม่ หรือเข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินเดิมในภายหลัง หากไม่ติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยดูได้จากรถไฟชานเมืองสายสีแดงสัญญา 1 ช่วงบางซื่อ-รังสิต เวลาผ่านไปหลายปี ยังคงต้องไล่ผู้บุกรุกต่อ”
ในเรื่องการเวนคืนที่ดินก็มีปัญหาด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่ จึงจะต้องมีบันทึกแนบท้ายสัญญา นับจาก พ.ร.ฎ. เวนคืนบังคับใช้ โดยให้เวลาเวนคืน 1 ปี 6 เดือน และบวกเพิ่มอีก 6 เดือน กรณีชาวบ้านไม่ยอมออกจากพื้นที่
ผู้ที่จะอนุมัติสัญญาจึงต้องศึกษาให้ดีว่า ปัญหาการไล่ที่ ที่จะมีขึ้นในที่ดินเวนคืนนั้น เกิดจากเหตุใด ทำไมจึงมีผู้เข้าไปอยู่ในพื้นที่เหล่านี้ และมีโอกาสไล่ที่สำเร็จจริงเพียงใด เนื่องจากการเซ็นสัญญาจะยังไม่นับเป็นการเริ่มต้นการทำงาน โดยจะเริ่มนับหนึ่งตามสัญญาได้ ก็ต่อเมื่อการส่งมอบพื้นที่สำเร็จ ดังนั้น จึงเข้าข่ายเป็น “เงื่อนไขบังคับหลัง“ ซึ่งการที่หน่วยงานของทางการ จะทำสัญญาแบบที่มี “เงื่อนไขบังคับหลัง“ ที่ใหญ่โตและอีนุงตุงนังอย่างนี้ แทนที่จะเคลียร์ให้ประเด็นความเสี่ยงส่วนใหญ่หมดลงไปเสียก่อน นั้น ย่อมไม่ถือเป็นวิธีการปกติ
อัยการที่ตรวจสัญญา ถึงกับช่วยหาคำบรรยายว่า เป็น “สัญญาสมัยใหม่“ จึงต้องติดตามว่าบอร์ดรถไฟฯ และ ครม.ประยุทธ์(2)จะเรียกสัญญาที่ผิดปกติเช่นนี้ว่าอย่างไร
ส่วนข้ออ้างว่า ต้องทำสัญญาเพราะข้อเสนอของเอกชนจะหมดอายุในเดือน พ.ย. นั้น ก็แปลก เพราะกรณีปกติ ด้านทางการจะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขต่างๆ มิใช่ปล่อยให้เอกชนบีบบังคับ นอกจากนี้ ยังต้องพิสูจน์อีกว่า การประมูลที่ดำเนินการนั้น เข้าข่ายเป็นการประมูลนานาชาติ international bid แท้จริง ตามหลักสากล หรือไม่?
และจำเป็นจะต้องบีบตัวเอง เพื่อทำสัญญาให้จบภายในเดือน พ.ย. จริงหรือไม่? เพราะถ้าทิ้งข้อเสนอนี้ แล้วเปิดประมูลใหม่ โดยแยกกิจการรถไฟออกจากกิจการอสังหาริมทรัพย์ รัฐน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า