ภายใต้แนวคิด ที่อยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลด “ความเหลื่อมล้ำของสังคม” ด้วยเครื่องมือทางเศรษฐกิจ ที่นอกจากชาวบ้านทั่วไปต้องประกอบอาชีพเพื่อหารายได้แล้ว
อีกด้านหนึ่งคือการบริหารเงินที่หามาได้ให้สร้างความมั่งคั่ง ซึ่งส่วนใหญ่ยังใช้เครื่องมือดังกล่าวน้อยมาก หลายคนยังเลือกแนวทางฝากเงินไว้กับธนาคาร ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนน้อยมากปีละประมาณกว่า 1% เมื่อหักเงินเฟ้อที่ปีนี้จะอยู่ที่ 1% เช่นกัน จึงทำให้เงินที่หาได้เมื่อหักความเสื่อมค่าจากเงินเฟ้อแล้วแทบไม่ได้อะไร
เมื่อเป็นเช่นนี้..เนตรทิพย์: เศรษฐกิจพารวย จึงขอทำหน้าที่เสนอช่องทางหารายได้ และแนะนำเครื่องมือใช้เงินให้ทำงาน สร้างผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ มาเป็นทางเลือกช่วยสร้างความร่ำรวย
โดยครั้งนี้ ขอเล่าถึงคนรวยที่ติดอันดับหนึ่งของโลกหลายสมัย อย่าง ”วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์” ที่ศาสตร์การลงทุนแบบเน้นหุ้นคุณค่า (Value investing) หรือวีไออันโด่งดังไปทั่วโลก สร้างความร่ำรวยให้บัฟเฟ็ตต์มาหลายทศวรรษ ก็มาถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนเช่นกัน
ย้อนไปในยุคแรกของการลงทุนแบบวีไอ ประมาณปี 2473 (ค.ศ.1930) ที่ ”เบนจามิน เกรแฮม” ผู้มีอิทธิพลต่อแนวคิดของ บัฟเฟ็ตต์ ใช้วิธีลงทุนหุ้นมูลค่าด้วยการมองหาบริษัทที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าแท้จริงดูบุ๊คแวลูในช่วงหุ้นขาลง จากนั้นก็เข้าซื้อและถือรอให้เศรษฐกิจดีตลาดหุ้นขึ้นก็ขายเพื่อทำกำไร โดยหุ้นบางตัวกำไรพุ่งกว่า 50% หลายหุ้นกำไรเป็นเท่าตัวหลายเท่าตัว สไตล์การลงทุนดังกล่าวจึงสร้างคนให้ร่ำรวยกว่าฝากเงินแบงก์ที่ได้ดอกเบี้ยเงินฝากแค่ 1-2%
จากนั้นเข้ายุคที่ 2 เมื่อบัฟเฟ็ตต์ คาดการณ์ว่า จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจึงขายหุ้นออกไปส่วนใหญ่ เพื่อถือเงินสดไว้รอซื้อหุ้นหลังวิกฤต ขณะที่อาจารย์เกรแฮมยังถือหุ้นสไตล์วีไอ เมื่อเกิดวิกฤติจริงความมั่งคั่งของเกรแฮมจึงหายไปอย่างมาก ขณะที่บัฟเฟ็ตต์ นำเงินสดที่ถือไว้มาเก็บหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่า จากนั้นบัฟเฟ็ตต์ ก็บริหารเงินกองทุนด้วยการซื้อหุ้นโดยดู เช่นคุณภาพบริษัท ดูความสามารถในการแข่งขัน ดูงบการเงินหาสินทรัพย์ที่ซ่อนไว้ ดูว่ามีกำไรต่อเนื่อง 5-10 ปี ดูว่าไม่ต้องใช้งบลงทุนวิจัยพัฒนาหรืออาร์แอนด์ดีมาก ยิ่งมีการนำกำไรสะสมไปซื้อหุ้นคืนจากตลาดหุ้นจะยิ่งน่าสนใจ หลักการพิจารณาใหญ่ๆ ดังกล่าว ใช้สร้างความมั่งคั่งมาต่อเนื่อง
ซึ่งหุ้นของบริษัทที่บัฟเฟ็ตต์ลงทุนส่วนใหญ่ จะเป็น ”สินค้าหรือบริการที่ชาวบ้านใช้เยอะๆยี่ห้อได้รับความนิยม ส่วนใหญ่จึงเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคของกินของใช้” ที่พวกนี้เมื่อมีเงินมากก็จะซื้อสื่อโทรทัศน์สร้างแบรนด์ให้แข็งป้องกันคู่แข่งเข้ามา
อย่างไรก็ตาม จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปเร็วมาก ผู้เล่นหน้าใหม่ที่มีไอเดีย ใช้เทคโนโลยีมาช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ เช่น “สตาร์อัพที่พักแอร์บีเอ็นบี” ที่ใช้เทคโนโลยีมาสร้างเครือข่ายห้องพักได้มากกว่าเชนโรงแรมใหญ่สุดของโลก
รวมทั้งประเด็นที่คนรุ่นใหม่เปลี่ยนไม่ดูโทรทัศน์แต่หันมารับสื่อผ่านออนไลน์ ผ่านโซเชี่ยลมากขึ้น ทำให้หุ้นสินค้าอุปโภคบริโภคของบัฟเฟ็ตต์ขาดความสามารถแข่งขันลงไป
หลายคนในวงการนักลงทุนหุ้นแบบวีไอ จึงเห็นตรงกันว่าน่าเป็นยุคที่ 3 ของการลงทุนแบบวีไอ ซึ่งบัฟเฟ็ตต์เองก็แหกกฎเดิมๆ ของการลงทุนแบบวีไอมาลงทุนในหุ้น เช่น ออราเคิล ที่ต้องมีการใช้งบอาร์แอนด์ดีมาก เปลี่ยนการซื้อจากรอถือไว้นานเป็นปีรอหุ้นขึ้นไปหลายเด้งแล้วขาย แต่ปีก่อนบัฟเฟ็ตต์ซื้อหุ้นออราเคิลไตรมาส 3 ผ่านไปไตรมาส 4 ก็ขายทิ้ง
ดังนั้นในยุคที่ 3 ของการลงทุนแบบวีไอนี้ จะเปลี่ยนไปอย่างไร ต้องปรับสไตล์การลงทุนเป็นแบบไหน..เนตรทิพย์:เศรษฐกิจพารวย จะนำข้อมูลมาฝากท่านผู้อ่านเป็นระยะ เพื่อสร้างความมั่งคั่ง ช่วยลดเหลื่อมล้ำของสังคม
โดย..คนฝั่งธนฯ