พลันที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จุดพลุถึงประเด็นร้อน “การย้ายเมืองหลวงของประเทศไทยไปอยู่ที่อื่น” ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาความแออัดและการจราจร ที่นับว่าเป็นปัญหาระดับชาติที่หลายรัฐบาลมีความพยายามจะแก้ไขแต่ก็ไม่สำเร็จสักที!
เรื่องนี้ได้กลายเป็นข่าวยึดหน้าสื่อให้ติดตามกันอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง!
ผังเมืองชี้..ย้ายเมืองหลวง3-5ปี
ต่อเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์ ได้มีโอกาสสอบถามและแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้รอบรู้ที่อยู่ในวงการพัฒนาเมืองและผังเมืองหลายคนมีความเห็นที่น่าสนใจให้ได้ติดตามดังนี้
“มณฑล สุดประเสริฐ” อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวว่า กรณีนี้นายกรัฐมนตรีน่าจะกล่าวถึงแผนในอนาคตมากกว่าที่จะดำเนินการใน 3-5 ปีนี้ เนื่องจากจะเกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายและยังต้องมีการศึกษาในหลายประเด็นที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะศักยภาพ ทำเลที่ตั้ง ระบบขนส่งมวลชน ศูนย์ราชการ ศูนย์กลางเศรษฐกิจ
โดยตามแนวคิดของหลายคนที่ผ่านมา จะพบว่า ได้นำเสนอพื้นที่จังหวัดนครนายก แต่โดยมุมมองส่วนตัวแล้วยังเห็นว่าจังหวัดราชบุรี น่าจะมีความเหมาะสม เนื่องจากมีพื้นที่ราบมากกว่า แล้วยังใกล้ กทม. ตลอดจนเป็นศูนย์กลางไปสู่ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือได้อีกด้วย
สำหรับปมความเห็นด้านผังเมืองนั้น แน่นอนว่าช่วงที่ผ่านมามีความพยายามนำรูปแบบการเวนคืนไปปฏิบัติ แต่ก็พบปัญหาว่า ไม่สามารถนำพื้นที่ที่ได้จากการเวนคืนไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นได้ ดังนั้นจึงมีแนวคิดว่าควรนำรูปแบบการจัดรูปที่ดินไปปฏิบัติน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า
แนะจัดรูปที่ดิน..แทนเวนคืน
สอดคล้องกับความเห็นของ “ทวนทอง ศิริมงคลวิชย์” ผู้อำนวยการสำนักจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ กรมโยธาธิการและผังเมือง ที่มองว่าการย้ายเมืองหลวงต้องมองในหลายประเด็น และความชัดเจนว่า จะย้ายศูนย์กลางทำงานของฝ่ายรัฐบาล หรือย้ายศูนย์กลางทางเศรษฐกิจไปด้วย เบื้องต้นนั้นยังเห็นว่าหากจะต้องเกี่ยวข้องกับด้านผังเมืองควรนำวิธีการจัดรูปที่ดินเข้าไปบริหารจัดการพื้นที่จะมีความเป็นไปได้มากกว่าวิธีการเวนคืน
ทั้งนี้รูปแบบการจัดรูปที่ดินถือว่าเป็นเครื่องมือในการทำงาน สามารถนำไปวางแผนในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองได้ทั้งหมด ส่วนการเวนคืนจะชัดเจนในด้านการบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคต่างๆ แต่การนำที่ดินจากการเวนคืนไปพัฒนาเชิงพาณิชย์ไม่สามารถทำได้
สำหรับการจัดรูปที่ดินเป็นกฎหมายเฉพาะ สามารถโยกย้ายที่ดินแปลงต่างๆ ไปพัฒนาได้ตามความเหมาะสม ทั้งที่ดินของรัฐ ของเอกชน อุปสรรคของการวางผังเมืองจึงไม่มี สามารถสนองความต้องการของทุกฝ่ายได้อย่างแท้จริง ทุกภาคส่วนยังเข้ามามีส่วนร่วมได้จริง
ประการสำคัญผังเมืองกับการจัดรูปที่ดินจะต้องสอดคล้องกัน โดยจะต้องชัดเจนตั้งแต่ระดับนโยบายแล้วนำไปสู่ภาคปฏิบัติอย่างต่อเนื่องกัน ทำนองว่าการสร้างบ้านจะต้องออกแบบแล้วจึงค่อยไปเริ่มการก่อสร้างนั่นเอง
ดังนั้น การจะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่แห่งใหม่จึงต้องวิเคราะห์พื้นที่ว่า จุดนั้นมีความเหมาะสมในด้านต่างๆ หรือไม่ อย่างไร และขนาดพื้นที่ นโยบายต่างๆ จากนั้นจึงจะนำรูปแบบการจัดรูปที่ดินเข้าไปใช้ในภาคปฏิบัติต่อไป เช่นเดียวกับมุมมองการเชื่อมโยงด้านระบบคมนาคมขนส่ง โลจิสติกส์ให้ครอบคลุม ตลอดจนมุมมองด้านความหนาแน่นของประชากรและการลงทุนพัฒนาระบบคมนาคมจะต้องคุ้มค่าหรือไม่จึงต้องวิเคราะห์หลายด้าน
เอาจริง..หรือโยนหินถามทาง!
เช่นเดียวกับมุมมองของ “ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สญชัย ลบแย้ม” ภาควิชาการออกแบบและวางผังชุมชนเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร อีกหนึ่งในมุมมองของนักวิชาการเห็นว่า ดำริของท่านนายกรัฐมนตรีน่าจะเป็นการโยนหินถามทางมากกว่า
แต่ในความเห็นส่วนตัวแล้วยังเห็นว่า ขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องย้ายเมืองหลวงที่จัดเป็นพื้นที่ศูนย์กลางการปกครอง การเมือง และการทหารของประเทศ ที่เป็นระบบประชาธิปไตย แตกต่างกับการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ แต่ละจุดแต่ละเมืองมีอัตลักษณ์และคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกันไป
สำหรับปัจจัยหลักของการย้ายเมืองหลวงนั้นในหลักๆ แล้วจะมี 2 ปัจจัย คือ “เรื่องภัยสงคราม และเรื่องทรัพยากร” คือ..ทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ โรคภัยระบาด น้ำท่วม ไฟป่าหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติรูปแบบต่างๆ และทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้นมา อาทิ ภาวะวิกฤติด้านน้ำมัน หรือการรัฐประหารแนวคิดการปกครองต่างๆ เช่น กรณีในจีน มาไต้หวัน หรือเนปิดอว์ เช่นเดียวกับการยกตัวอย่าง คือ อินโดนีเชีย ที่อ้างเรื่องการจราจรเพื่อย้ายเมืองหลวง
เทคโนโลยีทันสมัย..คนทำงานที่บ้านมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งมุมมองจาก ”ผศ.พงศ์พร สุดบรรทัด” ทีมเออร์เบิลแอ็คชั่น ในฐานะที่ปรึกษาด้านการพัฒนาเมือง การพัฒนาคูคลองและพื้นที่ต่างๆ ในเขต กทม. ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า วิธีการรูปแบบเดิมอาจต้องกลับมาคิดใหม่ในยุคนำหน้าด้วยเทคโนโลยี ขณะนี้หลายพื้นที่พบว่า เน้นความเป็นอัจฉริยะ ไม่จำเป็นต้องมีออฟฟิศทำงานนอกบ้าน หรืออยู่ไกลๆ อีกต่อไป
ดังนั้น แนวโน้มอาคารสำนักงานร้าง จึงจะมีมากขึ้น คนจะหันมาใช้บ้านเป็นสถานที่ทำงานมากขึ้น ดังนั้น การย้ายเมืองหลวง จึงมองไปในอนาคตรองรับเอาไว้ด้วย จะแข่งขันตามระบบเก่า การเมืองเดิมๆ คงจะไม่สอดคล้องกับโลกปัจจุบันอีกต่อไป
ถัดจากนี้ต้องจับตาดูแนวคิดในการจุดพลุโครงการย้ายเมืองหลวง จะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน หรืออาจจะทำให้กรุงเทพฯหลวม กระจายคนไปอยู่ตามเมืองบริวารรอบเมืองหลวงที่ปัจจุบันมีปัญหาจราจรติดขัดวินาศสันตะโร ปัญหาสิ่งแวดล้อม ความแออัดของการอยู่อาศัย รวมถึงปัญหาพื้นดินทรุดตัวและปัญหาเสี่ยงต่อถูกน้ำท่วมใหญ่ จากปัญหาการเพิ่มขึ้นของน้ำทะเลจากภาวะโลกร้อน ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จะกลายเป็นตัวเร่งให้รัฐบาลตัดสินใจในการย้ายเมืองหลวงเร็วขึ้น!