ยังคงโดนยื้อจากกลุ่มซีพีและถูกผู้บริหารรัฐบาลไล่บี้ลงนามสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระหว่างกลุ่มซีพีกับคณะกรรมการคัดเลือก ที่มีนายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นประธาน
ล่าสุด ช่วงบ่ายวันนี้ (27 ก.ย. 62) นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดเลือกฯระบุว่า จะประชุมสรุปเอกสารแนบท้ายสัญญาก่อนที่กลุ่มบีทีเอส และ รฟท. ตลอดจนคณะกรรมการอีอีซีจะมีลุ้นว่าท้ายที่สุดแล้วช่วงต้นเดือนตุลาคม 2562 นี้ กลุ่มซีพีและพันธมิตรจะตกลงลงนามสัญญาโครงการมูลค่าระดับแสนล้านบาทนี้หรือไม่ ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่า จะขาดทุนมากกว่าจะได้กำไรในช่วงแรกของการเริ่มดำเนินโครงการดังกล่าว
ปมการยื้อลงนามสัญญาครั้งนี้ แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะออกมากำชับให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเร่งลงนามสัญญา ตลอดจนผู้ใหญ่ในรัฐบาล ผู้บริหารกระทรวงคมนาคมจะออกมายืนยันครั้งแล้วครั้งเล่า จนหน้าแตกกันไปหลายครั้ง ก็ยังไม่มีการลงนามสัญญาเกิดขึ้น เพราะแค่ยื้อมา 2-3 เดือน ประเทศไทยเสียหายจากโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจไปแล้วเท่าไหร่
ประการหนึ่งนั้น จากการติดตามข่าวจะพบว่า การยื้อของกลุ่มซีพียังมีการอ้างถึงเรื่องการส่งมอบพื้นที่ของ รฟท.ที่ยังไม่สามารถการันตีว่า ท้ายที่สุดแล้วจะสามารถส่งมอบได้ภายใน 2 ปีนี้หรือไม่ หากไม่ทันกลุ่มซีพีจะต้องแบกรับภาระขาดทุนไปอีกเท่าไหร่ เพราะแค่ซื้อซองเอกสารประกวดราคาเพียงเศษเงินของเจ้าสัวซีพี 1 ล้านบาท ถือว่าน้อยมาก แต่หากขาดทุนสะสมตั้งแต่ที่กลุ่มซีพีตัดสินใจลงนามสัญญามูลค่าจะตามมาอีกหลักหมื่นล้านบาท จึงเป็นปมปัญหาที่คิดหนักของกลุ่มซีพีที่จะลงนามครั้งนี้ ด้วยหรือไม่ ก็น่าคิด!
จับตากลุ่มทุนโวย!
เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่มสถาบันการเงินของไทย รู้แล้วก็หนาวไปตามๆ กัน จึงขอถอนตัวจากการสนับสนุนโครงการไปทีละราย ทิ้งให้กลุ่มสถาบันการเงินของจีนสู้ไปเพียงลำพัง ประกอบกับหากมองถึงปริมาณผู้โดยสารที่ตามผลการศึกษาระบุไว้สูงถึง 4 หมื่นคนต่อวัน ย่อมห่างไกลความจริง แถมยังมองไปถึงรายได้ยังไกลกันลิบลับ ประการสำคัญ กลุ่มแบงค์จีนที่สนับสนุนกลุ่มซีพีจะออกมาโวยวายเรื่องนี้กันหรือไม่คงต้องคอยติดตามกันต่อไป
จับตาเกมยื้อมีเบื้องหลังหรือไม่?
หลายฝ่ายยังมองว่า เกมยื้อของกลุ่มซีพีครั้งนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกเพียบ ประกอบกับเมื่อเปิดโอกาสกลุ่มบีทีเอสที่มีพันธมิตรซึ่งมีผู้บริหารในรัฐบาลคอยหนุนอยู่เบื้องหลังยังเสนอตัวออกมาเร่งขับเคลื่อนให้ลงนามสัญญาโดยเร็ว เท่านั้นยังไม่พอ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จากพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกุล เป็นหัวหน้าพรรค ยังตามไล่บี้ผู้ที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะหากโปรเจครถไฟความเร็วสูงกว่าสองแสนล้านติดปัญหาค่าใช้จ่ายในการทุบเสาตอม่อโฮปเวลล์ที่ตั้งโด่เด่โชว์เป็นผลงานอัปยศอยู่เวลานี้ “เสี่ยหนู” หรือนายอนุทิน ใจป้ำพร้อมควักกระเป๋าใช้เงินส่วนตัว 200 ล้าน เป็นค่าทุบตอม่อโฮปเวลล์ให้ทันที..เว้นเสียแต่ว่า มีปมปัญหาที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนหรือยังไม่เป็นที่เปิดเผยมากกว่านี้!
ประการหนึ่งนั้น ที่ได้ฝ่ายญี่ปุ่นเข้ามาร่วมกับกลุ่มซีพี มองอย่างไรก็ยังเห็นว่า ต้องการขายของมากกว่า เพราะหากมองเรื่องการเดินรถจะชัดเจนว่าขาดทุนแน่ๆ ในช่วง 5 ปีแรกนี้ แถมยังมีมอเตอร์เวย์ที่รวดเร็วเข้าถึงได้ง่ายมากกว่าคอยเบียดแย่งผู้โดยสาร อีกทั้งผู้โดยสารที่จะเดินทางไปสนามบินอู่ตะเภาจำนวนมากนั้นยังเลือนลางเต็มทน ไปลุ้นช่วงพัฒนาจะมากกว่าไหม หากจะมองระยะสั้นแค่ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ ก็ยังน้อยเต็มที หรือจะคอยอานิสงส์จากสถานีกลางบางซื่อก็คงอีกนาน ดังนั้นแนวทางหนึ่งคงจะต้องไปฝากความหวังกำไรจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากกว่า
ปลุกฝันของบีทีเอสอีกครั้ง!
เกมยื้อโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินครั้งนี้ คงจะเป็นการปลุกความฝันที่รอวันเป็นจริงของ ”คีรี กาญจนพาสน์” จากกลุ่มบีทีเอสอีกครั้ง เพราะหวังว่า ระดับบิ๊กในรัฐบาลจะเข้ามาสนับสนุนทั้งทางตรงและทางลับให้ได้รับเค้กก้อนโตไปดำเนินการ
เพราะเห็นว่า กลุ่มบีทีเอสและพันธมิตรนั้น มีศักยภาพด้านการเดินรถ การก่อสร้าง การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ทั้งในพื้นที่ย่านพหลโยธิน มักกะสัน ชลบุรี พัทยา และอู่ตะเภา ที่ร่วมกับทุนบางกอกแอร์เวย์ จะคืนทุนได้รวดเร็วกว่า
นอกจากนั้น ยังจ่อรับงานก่อสร้างสนามบินและงานโครงการอื่นๆ ในพื้นที่อีอีซีตามมาอีกเพียบ แตกต่างจากกลุ่มซีพีที่พลาดจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น เมืองแห่งการบิน เป็นต้น ซึ่งโครงการลงทุนขนาดใหญ่เหล่านี้ มีการวางแผนการลงทุนให้เชื่อมโยงการลงทุนกับโครงการรถไฟความเร็วสูง
ดูเหมือนว่า ความฝันครั้งนี้จะสร้างความคึกคักให้กลุ่มบีทีเอสและพันธมิตรได้อีกครั้ง และสถานการณ์ชิงไหวชิงพริบเช่นนี้เป็นการโยนเผือกร้อนกลับไปให้กลุ่มซีพี โดยเฉพาะ ”เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” คิดหนักขึ้น!
เนื่องจากที่ผ่านมา “เจ้าสัวธนินท์” เคยกล่าวไว้ในงานสัมมนาวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ครั้งที่ 3/2019 ณ สถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์ เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา..
โดยระบุชัดตอนหนึ่งว่า “เครือซีพีกำลังลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ ที่ไม่ใช่ใหม่เฉพาะระดับประเทศ แต่เป็นเรื่องใหม่ในระดับอาเซียน เนื่องจากประเทศต่างๆ ในแถบนี้ ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ต่างยังไม่มีรถไฟความเร็วสูง ดังนั้น การที่เครือฯเข้ามาช่วยประเทศด้วยการลงทุนพัฒนาโครงการนี้ จะทำให้ประเทศไทยเป็นที่จับตามอง โดยจะเป็นตัวเลือกที่สำคัญในการลงทุนหรือการย้ายฐานการผลิตว่า การลงทุนรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3 สนามบิน เป็นการลงทุนสูง แต่ต้องลงทุน” (อ้างแหล่งข้อมูล:https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/840490)
ถึงที่สุดแล้วหากกลุ่มซีพีและพันธมิตรตัดสินใจลงนามสัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ย่อมแน่นอนว่า จะต้องประสบภาวะขาดทุน จนถึงขั้นกระทบโครงการไปอีกกี่ปี สูญเงินไปอีกกี่หมื่นล้าน..
งานนี้จึงทำให้กลุ่มทุนฝ่ายตรงข้าม ที่กำลังจ้องโครงการนี้ตามันวาว กระดี๊กระด๊าเหมือนปลาได้น้ำขึ้นมาทันที!