ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับงานสัปดาห์ประกันภัย (Thailand Insurance Expo 2019) ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Health Insurance without Boundaries : InsurTech Connect พลิกโฉมประกันสุขภาพ ด้วยเทคโนโลยีประกันภัย” เมื่อช่วงวันหยุด 27-29 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับเป็นปีที่ 12 ของการก่อตั้ง สำนักงาน คปภ.
การจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จอย่างงดงาม ทั้งในแง่ของผู้เข้าร่วมงานฯ และพิธีเปิดงานฯ รวมถึงการจัดพิธี “มอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร” (Prime Minister’s Insurance Awards) ให้กับ “คนประกัน” ทั้งในกลุ่มบริษัทประกันภัย (ประกันชีวิตและวินาศภัย) และตัวบุคคล รวมกันมากถึง 13 ประเภท 68 รางวัล สร้างความชื่นมื่นให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก
แต่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” มองเห็นสายตาของ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในวันที่ทำหน้าที่เป็นประธานกล่าวภายหลังเปิดงาน “สัปดาห์ประกันภัย ประจำปี 2562” พร้อมกับมอบรางวัล Prime Minister,s Insurance Awards บนเวทีในช่วงเช้าวันที่ 27 กรกฎกาคมแล้ว เหมือนเขาจะมีความหวังลึกๆ ซ่อนเอาไว้!
ฟังจากสิ่งที่เขาพูดในวันนั้น....“รัฐบาลอยากเห็นอุตสาหกรรมประกันภัย ที่มีสินทรัพย์รวมและเบี้ยประกันภัยรับตรงขนาดใหญ่มากๆ เข้ามาร่วมขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมยกระดับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวกับ e-Payment และอีกหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ดิจิทัล เทคโนโลยี” ให้มากยิ่งๆ ขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของอุตสาหกรรมประกันภัยเอง ก็กำลังมุ่งสู่ความเป็นดิจิทัล (Insurtech) ควรเข้ามาร่วมกับรัฐบาลในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล เพื่อให้เข้าถึงประชาชนในทุกภาคส่วน
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมประกันภัยยังมีบทบาทที่สำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ได้รับการดูแลในเรื่องสวัสดิการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งๆ ขึ้น โดยเบื้องต้น ผมได้หารือกับท่านเลขาธิการ คปภ. (นายสุทธิพล ทวีชัยการ) ไปบ้างแล้ว ซึ่งแนวทางการทำงานร่วมกัน ในการนำระบบประกันภัยไปสู่คนไทยในพื้นที่ต่างๆ ทั้งในแง่ของการประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ โดยอาจขยายผลไปยังกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีจำนวนผู้ถือบัตรมากถึง 14.5 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการเพิ่มหลักประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ โดยเฉพาะการดูแลโรคร้ายบางอย่าง เนื่องจากขณะนี้ ยังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน คาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้”
นายอุตตมยังย้ำด้วยว่า...“ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก จำเป็นที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และอุตสาหกรรมประกันภัย ซึ่งมีสินทรัพย์รวมและเบี้ยประกันภัยรับตรงที่ใหญ่ ก็น่าจะเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยได้อย่างมาก”
นั่นคือการรุกคืบใส่ สำนักงาน คปภ. ในยุคของ นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. คนปัจจุบันว่า ถึงที่สุดแล้ว ตัวเขาจะสร้างแรงเหวี่ยงไปยังกลุ่มคนในอุตสาหกรรมประกันภัย ให้ต้องขานรับกับนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ได้หรือไม่? อย่างไร? และแค่ไหน?
แต่เท่าที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ฟังน้ำเสียงของ เลขาธิการ คปภ. ว่า ดูเหมือนปลายทางของเป้าหมายที่ รัฐบาลและ คปภ. มองไว้...มันตรงกัน แต่จะตรงกับความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยหรือไม่? นั่นเป็นเรื่องที่ยังสงสัยอยู่?
“อุตสาหกรรมประกันภัยมีส่วนสำคัญต่อการส่งเสริมและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ภาพรวมช่วง 6 เดือนแรกของปี 62 พบว่า อุตสาหกรรมมีเบี้ยประกันภัยรับตรงสูงถึงกว่า 4.14 แสนล้านบาท แยกเป็นเบี้ยประกันชีวิตเกือบ 3 แสนล้านบาท และอีกว่า 1.14 แสนล้านบาทเป็นเบี้ยประกันวินาศภัย โดยในส่วนของระบบการประกันภัยของไทย ได้รับการจัดอันดับจากสถาบันการจัดอันดับประกันภัยต่างประเทศ ให้อยู่ในอันดับที่ 3 ของเอเชีย และอันดับที่ 2 ของอาเซียน สะท้อนว่า ระบบประกันภัยของไทยมีมาตรการการดำเนินงานอยู่ในระดับสากลที่สังคมโลกให้การยอมรับ”
ไม่เพียงแค่นั้น เลขาธิการ คปภ.ย้ำระบุอีกว่า “อนาคตของธุรกิจประกันภัย จะขึ้นอยู่กับการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการประกันภัย ด้วยผลิตภัณฑ์และราคาที่จับต้องได้ จึงอยากให้ภาครัฐและภาคเอกชนในธุรกิจนี้ ตั้งเป้าหมายร่วมกันในการใช้โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้มากที่สุด และเอามาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคตั้งแต่ระดับผู้มีรายได้น้อยไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ให้ได้
บางครั้ง ผู้บริโภคก็อาจไม่ทราบความต้องการของตัวเอง ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของธุรกิจประกันภัยที่จะหานวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไปนำเสนอ ซึ่งหากมีการนำการประกันภัยและเทคโนโลยี มาผนวกให้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในการใช้ชีวิตของประชาชน เช่น การเอาความคุ้มครองและเบี้ยประกันภัยไปเชื่อมกับข้อมูลสุขภาพจากอุปกรณ์ wearable device ซึ่งเก็บข้อมูลเกี่ยวสุขภาพ และสามารถสร้างแรงจูงใจให้คนปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น”
แน่นอนว่า...งานสัปดาห์ประกันภัย 2562 มันชัดเจนว่า... “มางานเดียว คุ้ม ครบ จบในที่เดียว เรื่องประกันภัย”
แต่กับชีวิตจริง ที่ต้องขานรับและขับเคลื่อนตามเป้าหมายของรัฐบาล ที่หวังจะอาศัยฐานเงินทุน, รายได้ และสินทรัพย์รวมของอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย รวมถึง ร่วมยกระดับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล ผ่านระบบ e Payment และอีกหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ดิจิทัล เทคโนโลยี” นั้น
มันจะง่าย...คุ้ม ครบ จบในที่เดียวได้อย่างไรกัน!!!
ขอบอกว่างานนี้...ภาคเอกชนในแวดวงอุตสาหกรรมประกันภัย ไม่หมูอย่างที่ฝ่ายการเมืองคิดหรอกนะ!!!
โดย..กากบาทดำ