เดิมพันครั้งนี้...ช่างสูงนัก!
ความสำเร็จของมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของ “รัฐบาลลุงตู่” สมัยที่ 2 ที่ประกาศจะนำมาใช้มาตรการข้างต้นมาใช้กับคน 10 ล้านคนนั้น
เป้าหมายที่บอกกับสังคมไทย? ก็เพื่อต้องการจะกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ หลังจากเครื่องยนต์กลไกในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ เหลือเพียงแค่...การลงทุนภาครัฐ (รวมรัฐวิสาหกิจ) เท่านั้น ที่ยังคงเดินหน้าต่อไปได้เพียงลำพัง
ส่วนเครื่องยนต์หลักตัวอื่นๆ ที่เคยทำหน้าที่ “หัวหอก” อย่าง...การส่งออก, การลงทุนภาคเอกชน การบริโภคภายในประเทศ ต่างตกอยู่ในอาการสาหัสสากรรจ์...ไม่ต่างกันนัก
นั่นเพราะ...ปัญหาใหญ่ของเรื่องหนึ่ง ย่อมส่งผลกระทบไปยังปัญหาใหญ่อื่นๆ ตามมา..
โดยมีระบบเศรษฐกิจโลก ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะ “ชะงักงัน” จากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน รวมถึงเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ของโลก เริ่มถดถอย และชะลอตัว
หลายประเทศที่ว่านี้...ต่างเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยเป็นส่วนใหญ่
หากรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เฉพาะในซีก “แกนหลัก” ของรัฐบาล เช่น พรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐ กำกับดูแลกระทรวงและหน่วยงานสำคัญๆ อย่าง...กระทรวงการคลัง, กระทรวงพลังงาน, กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. หรือสภาพัฒน์) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) คอยกำกับดูแล
(ที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” หยิบเอารายละเอียดเหล่านี้มาพูดถึง เพราะมันมีประเด็นที่เกี่ยวข้องให้ต้องขบคิด พอให้มองเห็นเป็นภาพความเชื่อมโยง ทั้งในเชิงสอดประสานและความขัดแย้ง ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะพูดถึงในช่วงหลังของบทความชิ้นนี้)
ไม่เร่งรัด “เปิดหน้า” เดินเครื่องและเดินหน้าโปรเจ็คต์นี้ อาจทำให้ระบบเศรษฐกิจของไทย...ถึงกาลพังพินาศ! และนั่น ย่อมส่งผลกระทบถึงการจัดเก็บรายได้จาก “ภาษี” โดยเฉพาะ...รายใหญ่อย่าง กรมสรรพากร ภายใต้การนำของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีฯ ไม่ว่าจะเป็น...ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) 7% หรือภาษีเงินได้ ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรม ตามมา...อย่างไม่ต้องสงสัย?
ระหว่างที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินสาย “จี้ติด - ไล่บี้” หน่วยงานที่กำกับดูแลรัฐวิสากิจทั้ง 56 แห่ง อย่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เพื่อกระตุ้นให้รัฐวิสาหกิจที่มีแผน หรือยังไม่มีแผนในการลงทุนฯ ต้องทำการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณ เพื่อการลงทุนในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปี 2562 พร้อมกับวางแผนการลงทุนในปี 2563 ไปในคราวเดียวกันเลยนั้น
อีกซีกหนึ่ง ก็เร่งดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการ “ชิ้มช้อปใช้” ด้วยหวังจะใช้เครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านการท่องเที่ยวเป็นหลัก
โดยเริ่มเปิดให้ประชาชนทำการลงทะเบียนของรับสิทธิ์จากมาตรการ “ชิมช้อปใช้” นับแต่หลังเที่ยงคืนของวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา (เริ่มเข้าสู่เช้าของวันที่ 23 กันยายน 2562) เป็นต้นมา
นัยว่า...เม็ดเงินที่รัฐบาล “ใจดี” มอบให้คนไทย 10 ล้านคน เป็นจำนวนเงินคนละ 1,000 บาท ผ่านกระบวนการ...ลงสมัครเพื่อขอรับสิทธิ์ฯ, การยืนตัวตน และการนำเงินไปใช้ในระบบ e Payment ผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” (สำหรับผู้ใช้) และ “ถุงเงิน” (สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการฯ) ที่ธนาคารกรุงไทย ออกแบบและดูแลระบบดังกล่าวนี้
จะมีส่วนสำคัญต่อการกระตุ้น การจ่ายใช้ผ่าน ระบบ e Payment ทั้งในส่วนของกระเป๋าที่ 1 คือ การรับโอนเงินจากรัฐบาลจำนวน 1,000 บาท และกระเป๋าที่ 2 คือ การโอนของตัวเองเข้าไปไว้ใน แอปฯ “เป๋าตัง” เพื่อจะได้รับสิทธิ์คืนเงิน (Cash Back) 15% รวมกันไม่เกิน 4,500 บาท (จากเงินต้น 30,000 บาท)
เท่าที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” จับตาดูมาตลอด 8 วันทำการ (วันที่ 23-30 กันยายน) ที่เปิดให้ประชาชนได้ลงทะเบียนฯนั้น.. พบว่า...กลายเป็นกระแสความสนใจของคนไทยต่อมาตรการนี้อย่างมาก จากวันแรกที่กว่าจะเต็มครบ 1 ล้านคน ก็ปาเข้าไปถึงเวลา 13.43 น. จากนั้น เวลาก็ขยับขึ้นมา จาก...6 โมงเช้า เป็นตีห้า, ตีสาม และตีสองปลายๆ
แม้หลายคนจะบ่นทำนอง...คิวแน่น / ค้างคอขวด / อออัดแน่นอยู่หน้าประตู และอีกหลายๆ วลี “ก่นด่า” ทว่า...มันสะท้อนภาพที่คนไทยเกิดอาการ “ตื่นตัว” รับกับมาตรการนี้กันไปแล้ว
ปัญหาตามมาหลังจากการลงทะเบียนฯแล้ว ก็คือ...การดาวน์โหลดแอปฯ “เป๋าตัง” และการยืนยันตัวตน ซึ่งในขั้นตอนนี้ พบว่า...หลายคนเข้าไปยืนยันตัวตนไม่ได้ ส่วนใหญ่เพราะใบหน้าปัจจุบัน อาจไม่ตรงกับใบหน้าที่ปรากฏบนบัตรประชาชน ทำให้ระบบ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ไม่อ่านและอนุญาตให้มีการยืนยันตัวตน เพื่อใช้สิทธิ์ในมาตรการฯ เดือดร้อนพนักงานสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ ที่ต้องคอยตอบคำถามและเร่งเคลียร์ปัญหากันไป ตามเวรตามกรรม
หนักกว่านั้น...คือ ขั้นตอนของการใช้จ่ายเงินผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” ที่ได้เริ่มมองเห็นภาพการ “ก่นด่า” เอากับมาตรการ “ชิมช้อปใช้” กันบ้างแล้ว
เพราะแม้ว่า...การใช้จ่ายเงินผ่านห้างยักษ์หรือร้านค้าขนาดใหญ่ จะไม่ใช่เป้าหมายหลักของรัฐบาล ที่ต้องการจะเห็น “เม็ดเงิน” หมุนเวียนอยู่ในระบบหลายๆ รอบ แทนที่จะไหลไปอยู่ใน “ถุงเงิน” ของ “ขาใหญ่” ที่ส่วนใหญ่...เข้าแล้วมักออกยาก
แต่ทว่า...การเปิดช่องให้ร้านค้ากลุ่มนี้ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการฯ นั้น ไม่เพียงจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หากยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับ “ผู้ถือสิทธิ์ฯ” ในการจับจ่ายใช้สอยผ่าน ผ่านห้างยักษ์หรือร้านค้าขนาดใหญ่
กระนั้น ภาพที่ร้านค้าฯ ไม่อาจจะรับโอนเงินเป็นค่าสินค้าและบริการได้นั้น มีส่วนอย่างมากต่อการทำลายความเชื่อมั่นของมาตรการ “ชิมช้อปใช้” และคนที่ต้องรับผิดชอบในฐานะ “ตำบลกระสุนตก” ก็คงไม่พ้นธนาคารกรุงไทย ที่มี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เป็น “ประธานกรรมการฯ” และมี นายผยง ศรีวณิช เป็น “กรรมการผู้จัดการใหญ่” อย่างแน่นอน
ภาพที่ได้เห็นจากข่าวโทรทัศน์และในโลกโซเชียลฯ ก็คือ พนักงานของห้างค้าปลีกข้ามชาติฯ ต่างทยอยไล่เก็บสินค้าคืนชั้นวางของ หลังจากการรับ-โอนเงิน ในมาตรการ “ชิมช้อปใช้” เกิดภาวะล้มเหลว และ “ผู้ถือสิทธิ์ฯ” ก็ไม่พร้อมจะชำระค่าสินค้าเป็นเงินสด
ขณะที่กลุ่ม “ผู้ถือสิทธิ์ฯ” ซึ่งเข้าไปรับประทานอาหารในร้านอาหารชื่อดังและไม่ดังนั้น หากกระบวนการชำระเงินเกิดอาการ “ล้มเหลว” ทางออกเดียว คือ ต้องจ่ายเป็นเงินสด หรือไม่ก็ “รูดปี๊ดๆ” เอาเงินอนาคตในบัตรเครดิตมาใช้...จะคืนสินค้าที่รับประทานไปแล้ว ไม่ได้เหมือนการซื้อของในห้างดังฯ
เช่นกัน เสียง “ก่นด่า” จากคนกลุ่มนี้...ค่อนข้างจะดังแรงเป็นพิเศษ!!!
“สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ได้เห็นภาพ...การเช็คสิทธิ์ และตรวจทานระบบการชำระเงิน ก่อนจะทำการซื้อขายสินค้าและบริการ ระหว่าง...ผู้ซื้อและผู้ขายทั้งหลายทั้งปวงนั้น...พรรคแกนหลัก (พลังประชารัฐ) และพรรคร่วมรัฐบาล (ประชาธิปัตย์, ภูมิใจไทย ฯลฯ) ต่างมองเห็นภาพอนาคตและปัญหาที่จะมีตามมา
โดยในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล จึงพยายามจะดำเนินกิจกรรมตามมาตรการ/โครงการของตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคพลังประชารัฐ (แม้จะอ้างว่าเป็นโครงการของรัฐบาลเหมือนกันก็ตาม)
อาการจะร่วมด้วยช่วยกัน! กับมาตรการ “ชิมช้อปใช้” จึงไม่มีให้เห็นมากนัก ยกเว้น! การท่องเที่ยวฯ ที่จะได้รับประโยชน์เต็มๆ จากมาตรการนี้ จึงต้องเข้าร่วมแบบเสียไม่ได้ (สิ่งนี้ พอจะตอบคำถามที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ได้เกริ่นไว้ในตอนต้นบ้างแล้ว)
ขณะที่ พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การ “คัดท้าย” ของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แม้จะมองเห็นภาพเหล่านั้นออก เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยมองเห็น แต่ภาพความเป็น “แกนหลัก” ของทีมเศรษฐกิจ แถมชื่อมาตรการฯ ยังสอดคล้องกับชื่อของพรรคพลังประชารัฐ
ดังนั้น พวกเขาจำเป็นจะต้อง “เดินเกม” สู้กันต่อไป ต้องไม่ลืมว่า...เดิมพันครั้งนี้ มันสูงนัก!
เพราะความสำเร็จของ มาตรการ “ชิมช้อปใช้” นั้น แท้จริง! ไม่ได้อยู่ผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นที่รัฐบาลอ้างแต่อย่างใด? เนื่องจากเม็ดเงินแค่ 1,000 บาท กับคน 10 ล้านคน มันเป็นแค่...วงเงิน 10,000 ล้านบาท แม้รัฐบาลจะสร้างกระเป๋าที่ 2 คือ การคืนเงิน (Cash Back) 15% แต่เอาเข้าจริงจะมีสักกี่คน? และคิดเป็นวงเงินเท่าไหร่? ที่คนไทยจะใช้จ่ายผ่านมาตรการฯ นี้ ในเมื่อ...เงินในกระเป๋าของคนไทยส่วนใหญ่ ก็เหลือน้อยเต็มทน แถมยังมีเรื่อง “น้ำท่วมภาคอีสาน” มาทำให้หัวใจของเพื่อนคนไทย ต้องระทมทุกข์ไปด้วยกันเสียอีก
ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ ซึ่ง “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” มองว่า...น่าจะอยู่ที่การ “เปลี่ยนผ่าน” นิสัยและพฤติกรรมของคนไทย เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ “สังคมไร้เงินสด” (Cashless Society) มากกว่า...
เสียดายเพียงแต่ว่า...“ประสบการณ์แรก” ของคนไทยบางกลุ่ม? (อาจเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำไป) ทั้งในส่วนของ “ผู้ซื้อ” (ผู้ถือสิทธิ์ฯ) และร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการฯ กลับพบเจอความเลวร้ายจากความล้มเหลวของระบบการชำระเงินฯ
ถึงได้บอกไงว่า...ครั้งนี้ เดิมพันมันสูงนัก!
ทั้ง...รัฐบาล, พรรคพลังประชารัฐ, ธนาคารกรุงไทย, ร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการ และผู้ซื้อ (คนไทย 10 ล้านคน) ต่างก็ต้องน้อมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา!
ถึงตรงนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ขอไม่ฟันธง! ว่า...ผลกระทบที่จะมีตามมาคืออะไร?
ด้วยเชื่อว่า...คนที่อ่านบทความนี้...คงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว!!!
โดย..กากบาทดำ