เหลือบเห็นข่าวเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) นายคณิต แสงสุพรรณแถลงความคืบหน้า 5 โครงการโครงสร้างพื้นฐานในเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี ที่คณะกรรมการ (บอร์ด) อีอีซีที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเพิ่งเคาะออกมาล่าสุด
โดยทุกโครงการจะได้บริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานลงทุนตามนโยบาย “พีพีพี”ภายในเดือนเมษายน 62 นี้ บางโครงการนั้นเร่งรัดให้เสร็จสรรภายในเดือนกุมภาพันธุ์-มีนาคมก่อนหย่อนบัตรเลือกตั้งนี้ด้วย
ไล่ดะไปตั้งแต่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ชนะประมูลที่คาดว่า จะแล้วเสร็จในเดือนนี้ อีก 4 โครงการที่เหลือ คือ สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก กำหนดให้เอกชนยื่นข้อเสนอปลายเดือนกุมภาพันธ์และคาดจะได้ผู้ผ่านการประเมินในเดือนเมษายน
โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ท่าเรือ F หลังการท่าเรือต้องดำเนินการทบทวนเงื่อนไขทีโออาร์ใหม่ จากที่ก่อนหน้ามีเอกชนเสนอตัวเพียงรายเดียวและไม่ผ่านคุณสมบัตินั้นคาดจะเปิดให้เอกชนยื่นซองครั้งที่ 2 ในปลายเดือนมีนาคมนี้ ด้านโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 และโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา ก็คาดว่าจะได้ผู้ผ่านการประเมินภายในเดือนกุมภาพันธ์เช่นกัน
เห็นสิ่งที่รัฐบาลทุ่มเทให้กับโครงการลงทุนในอีอีซีแล้ว ก็ให้นึกย้อนไปถึงการประมูลคลื่น 700 เมกะเฮิร์ตซ์ เพื่อรองรับการพัฒนาระบบ 5 จีที่รัฐบาลและคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม(กสทช.)กำลังตีปี๊บอยู่เวลานี้ และหมายมั่นปั้นมือจะผลักดันให้ประเทศไทยแจ้งเกิดให้ได้ภายในปี 2563 นี้
เพราะโครงสร้างพื้นฐานในเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี และโทรคมนาคม 5 จีนั้น ก็ล้วนเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีส่วนขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจไม่แพ้กัน เผลอๆโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมจะเป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมได้มากกว่าเสียด้วยซ้ำ!
แต่กลับเป็นที่น่าสังเกตว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวกลับไม่เคยได้ “อานิสง”จากภาครัฐแม้แต่น้อยอย่าแต่ให้การสนับสนุนเงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนเลย เอาแค่ปรับเปลี่ยนและตั้งเกณฑ์ประมูลคลื่นความถี่ใหม่จากที่เคยยึดค่าต๋งประมูลสูงสุดเป็นเกณฑ์ ที่จะปรับเปลี่ยนมาเป็นระบบ Beauty contest หรือยึดเกณฑ์รายใดให้ประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด กำหนดค่าบริการที่ประชาชนต้องจ่ายต่ำสุด ก็ยังเป็นได้แค่ฝัน
แม้แต่การที่บริษัทสื่อสารผู้ให้บริการโทรคมนาคมร้องขอขยายเวลาจ่ายค่าธรรมเนียมประมูลคลื่นความถี่ 900 ออกไปจากเดิมแค่ 3-5 ปี ก่อนหน้านี้ก็ยังถูกเครือข่ายและนักวิชากการโจมตีราวกับกำลังปล้นชาติปล้นแผ่นดินไปซะงั้น นักวิชาการบางคนสามารถแสดงผลประโยชน์รัฐที่จะสูญหายไปเป็นหมื่นล้าน หากรัฐยอมยืดขยายเวลาจ่ายค่าต๋งออกไป
ล่าสุดทุกฝ่ายคงได้เห็นแล้ว แม้กสทช.จะออกมาตีปี๊บการประมูลคลื่นความถี่ 700 MHz ที่เรียกคืนมาจากผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลล่าสุดนั้น ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ากลุ่มทรู หรือบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นฯ ออกมาแสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่า จะไม่เข้าร่วมประมูล เนื่องจากบริษัทยังคงแบกภาระค่าประมูลคลื่น 900 MHz เดิมอยู่เต็มหน้าตัก ขณะที่ข้อเรียกร้องขอให้รัฐและกสทช.ยืดชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเดิมออกไปก่อนหน้าก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
ขณะที่อีก 2 ค่ายอีแทคและเอไอเอสนั้น แม้จะยังไม่ประกาศท่าทีออกมา แต่ภายใต้สภาวะการณ์ในปัจจุบันที่ทุกค่ายต่างก็แบกรับภาระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเดิมอยู่เต็มหน้าตัก ก็คงยากที่ค่ายใดระดมทุนอีกก้อนใหญ่มาจ่ายค่าคลื่นความถี่ใหม่ที่จะนำออกประมูลนี้ ไหนจะต้องระดมเงินทุนอีกก้อนใหญ่ลงทุนด้านเครือข่ายที่นัยว่าสูงกว่าระบบ 3หรือ4 จีเป็นหลายเท่าตัว
ดังนั้นตราบใด ที่รัฐและกสทช.ยังคงไม่มีความชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ ก็เห็นทีอนาคตการประมูลคลื่นความถี่ต่ำ เพื่อรองรับระบบ 5 จีนั้น คงจะเป็นได้แค่ฝัน เผลอๆ ประวิติศาสตร์อาจซ้ำรอยการประมูล 3 จีที่ไทยเกือบจะ “รั้งบ๊วย” เอาด้วย!