ยื้อกันมานานนับเดือน หลังจากช่วงก่อนนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนใหม่ ออกมาเรียกร้องให้บอร์ดรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคมแสดงสปิริตลาออก เพื่อเปิดทางให้แต่งตั้งบอร์ดชุดใหม่เข้าไปทำหน้าที่ขับเคลื่อนต่อไป
แต่การลาออกของบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ยังน่าติดตามอีกหลายประเด็นที่เป็นประเด็นร้อนไม่ว่า จะเป็นเรื่องค่าโง่โฮปเวลล์ 2 หมื่นล้าน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และค่าโง่ทางด่วน 4 พันล้านบาทของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ที่ศาลได้สั่งให้ รฟท. จ่ายให้บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ภายใน 3 เดือนพร้อมดอกเบี้ยวันละ 4 แสนบาท
นี่ผ่านมาแล้ว 1 ปีประชาชนคงต้องโดนเอาภาษีไปชำระค่าโง่นี้อีกไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งยังมีหลายคดีที่ยังรอคิวการพิจารณาของศาล..
ด้านบอร์ด รฟท. นั้น ล่าสุด นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้นำบอร์ดรถไฟลาออกยกชุด มีผลวันนี้ 1 ต.ค. 2562 พร้อมเปิดใจกับผู้สื่อข่าว “สำนักข่าวเนตรทิพย์ออนไลน์” ว่า ได้จัดทำรายละเอียดส่งมอบไว้ให้เรียบร้อย ซึ่งช่วงที่ผ่านมายอมรับว่าไม่ได้มีแรงกดดันจากการเมือง โดยบอร์ดกำหนดกรอบเวลาการลาออกสิ้นเดือนกันยายนมาระยะหนึ่งแล้ว ภายหลังจากที่เริ่มเข้ามาทำหน้าที่ได้ปิดบัญชีรายรับ รายจ่ายตั้งแต่ปี 2555-2561 เสร็จเรียบร้อย เคลียร์ปัญหาที่ดินแปลงใหญ่อย่างสถานีแม่น้ำแล้วเสร็จ พร้อมเสนอเปิดประมูลหาเอกชนพัฒนาโครงการได้ทันที
ความสำเร็จของบอร์ดในครั้งนี้ยอมรับว่า ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งผู้บริหาร พนักงาน ตลอดจนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ รฟท. แต่เนื่องจากบอร์ดชุดนี้ได้รับการแต่งตั้งตั้งแต่รัฐบาลชุดที่ผ่านมา หรือในยุค คสช. เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมที่จะลาออก เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแต่งตั้งบอร์ดชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ต่อไป ในภาพรวมนั้นยังเป็นห่วงปัญหาโครงการและบริหารจัดการรถไฟฟ้าสายสีแดงที่ยังล่าช้า เปิดไม่ทันปี 2564 เช่นเดียวกับอีกหลายโครงการยังน่าห่วง ทั้งรถไฟทางคู่ การปรับโครงสร้างองค์กร ตั้งบริษัทลูกบริหารทรัพย์สิน แต่ยังยืนยันว่าตลอดช่วง 17 เดือนที่ผ่านมาพอใจการทำงานของทุกฝ่ายร่วมมือกันดี
นายกุลิศ เปิดใจว่า บอร์ดชุดใหม่จะต้องรับนโยบายของรัฐมนตรีคนใหม่ต่อไป การประชุมบอร์ดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 เป็นการประชุมสรุปผลการทำงานของบอร์ดในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งบอร์ด รฟท.ได้มีการยื่นใบลาออกทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว และได้แจ้งการลาออกให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทราบแล้ว โดยการลาออกจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป
ประการสำคัญหลังจากบอร์ดชุดนายกุลิศเข้าไปเร่งขับเคลื่อนโครงการรถไฟสายสีแดง โดยได้ตั้งคณะทำงานเข้าไปรับผิดชอบกันครบแล้วนั้น ซึ่งได้เสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ค้างไว้เมื่อคราวก่อน ส่วนเรื่องการปรับโครงสร้างองค์กรยังเดินหน้าต่อไปได้ แม้จะล่าช้าไปบ้าง ซึ่งต้องดูว่ารัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ามาขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร
ยังยื้อค่าโง่โฮปเวลล์ 2 หมื่นล้าน
ฟาก นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยืนยันถึงความชัดเจนของการลงนามรถไฟเชื่อมสามสนามบินว่า ได้เสนอเรื่องการลงนามไปยังคณะกรรมการอีอีซีเพื่อพิจารณาลงนามวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ส่วนเรื่องบริษัทลูกบริหารทรัพย์สินได้เสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป เช่นเดียวกับบริษัทลูกสายสีแดงได้ส่งเอกสารเพิ่มเติมให้กับกระทรวงคมนาคมไปแล้วเช่นกัน โดยในภาพรวมยังหลายโครงการยังต้องรอบอร์ดชุดใหม่เข้ามาขับเคลื่อนต่อไป โดยเฉพาะประเด็นค่าโง่โฮปเวลล์ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนเรื่องการสรรหาผู้ว่า รฟท. คนใหม่คงต้องรอให้บอร์ดชุดใหม่เข้ามาดำเนินการ
สอดรับกับที่นายกวิน ทังสุพาณิชย์ หนึ่งในคณะกรรมการ รฟท. กล่าวว่า ยังห่วงเรื่องการบริหารจัดการรถไฟสายสีแดง รถไฟทางคู่ เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จจะต้องเริ่มเข้าสู่การบริหารจัดการว่าจะสะดุดปัญหาอะไรอีกหรือไม่ แม้ทีมแอร์พอร์ตลิ้งค์จะมีความเชี่ยวชาญในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม โครงสร้างการจัดการภายในยังต้องเร่งขับเคลื่อนอีกมาก ต้องมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาทำหน้าที่โดยเฉพาะบริษัทลูกด้านบริหารทรัพย์สิน
ยังลุ้นค่าโง่ทางด่วน 4 พันล้าน
ด้านแหล่งข่าวรายหนึ่งของ กทพ. กล่าวว่าบอร์ด กทพ. ชุดปัจจุบันยังไม่ลาออกทั้งชุด แม้จะมีคณะกรรมการบางท่านลาออกไปแล้วก็ตาม เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ในองค์กรต้นสังกัด ประเด็นหลักคงต้องการขับเคลื่อนเรื่องข้อพิพาทหรือค่าโง่ทางด่วน 4,000 ล้านบาทให้ได้ข้อยุติก่อน แต่ในข้อเท็จจริงแล้วยังไม่แน่ใจว่าบอร์ดชุดนี้จะสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้เนื่องจากไม่ครบองค์ประชุม และการเมืองเข้ามาล้วงลูกมากเกินไป ทุกวันนี้ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยวันละ 4 แสนบาทตั้งแต่ 6 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา
นี่หากสิ้นปีนี้ศาลพิจารณาคดีชัดเจนอีก 2-3 สำนวนคิดดูว่า จะมีภาระหนี้หรือค่าโง่ให้ กทพ. ต้องจ่ายเงินให้คู่พิพาทอีกจำนวนเท่าไหร่ เงินเหล่านี้ล้วนนำมาจากรายได้และภาษีประชาชนทั้งนั้น คงเป็นภาระที่บอร์ดชุดเก่าโยนภาระนี้ให้บอร์ดชุดใหม่เร่งขับเคลื่อนต่อไป ส่วนจะเป็นเผือกร้อนหรือถ่านไฟแดงๆแล้วแต่จะเลือกกันเองล่ะกัน