“บล็อกเชน” (Blockchain) คืออะไร? ใช่สิ่งเดียวกับที่กลุ่มคนค้าเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) นำมาใช้เพื่อการลงทุนและเทรดกันหรือไม่?
แล้วเหตุใด? รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการคลัง ถึงหยิบเอาเรื่องนี้มาเป็น “วาระสำคัญระดับกระทรวง” เรื่องนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” มีคำตอบ...
เริ่มจาก นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่แม้จะไม่ได้ชื่อเป็น “รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลชุดนี้ แต่บทบาทที่ตัวเขามีและกระทรวง (รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ) ที่เขากำกับดูแลนั้น ซึ่งสัมพันธ์อยู่กับแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจมหภาค ทั้งทางด้านนโยบายการคลัง ด้านพลังงาน ด้านอุตสาหกรรม ด้านการศึกษา, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงด้านการต่างประเทศ สภาพัฒน์ และบีโอไอ
จึงไม่แปลกหากแนวคิดของนายสมคิด จะกลายเป็น Main หลักสำคัญของรัฐบาลชุดนี้ และนั่นจึงนำไปสู่แนวคิดของการนำ “บล็อกเชน” หรือ ระบบโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ ที่มีลักษณะเป็นเครือข่ายใยแมงมุม คอยจัดเก็บสถิติการทำข้อมูลและธุรกรรมต่างๆ ไม่เฉพาะข้อมูลทางการเงิน หรือสินทรัพย์ชนิดอื่นๆ อีกในอนาคต
โดย “บล็อกเชน” ถือเป็นระบบฯ ที่มีความเสถียรและไร้ความเสี่ยง เนื่องจากฐานข้อมูลที่มีทั้งหมด จะถูกกระจายไปยังส่วนต่างๆ ภายในระบบ นับเป็นล้านๆๆๆ ช่องทาง ทั้งนี้ เมื่อ “แฮ็กเกอร์” (นักทำลายข้อมูล) แอบเข้าสู่ระบบ ก็ไม่สามารถจะทำลายข้อมูลที่มีได้ เนื่องจาก “บล็อกเชน” เป็นระบบที่ “ไม่มีตัวกลาง” (Decentralized) เหมือนเช่น (ยกตัวอย่าง) ระบบการเงินแบบเดิมๆ ที่ข้อมูลทั้งหมดจะอยู่กับธนาคารพาณิชย์ “ต้นสังกัด” ที่เราฝากเงินเอาไว้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เมื่อถูกโจมตีและทำลายข้อมูลจากฝีมือ “แฮ็กเกอร์” ข้อมูลการเงิน (เงินฝากและสินเชื่อ)ของลูกค้า ก็จะพลอยหายไปด้วย
แต่ไม่ใช่กับระบบ “บล็อกเชน” นั่น จึงเป็นสิ่งที่กระทรวงการคลัง ประกาศว่า จะเป็นกระทรวงแรกของประเทศไทย ที่นำระบบดังกล่าวมาใช้งาน ในสายงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่อง...ภาษี การจัดเก็บรายได้ การเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดิน การกำหนดราคากลางของที่ดิน (ราชพัสดุ) การอำนวยประโยชน์แก่ภาคธุรกิจ/เอกชน และอื่นๆ อีกมากมาย
และ “บล็อกเชน” ที่ว่านี้...ก็เป็นตัวเดียวกับที่นักค้าเงินดิจิทัลเข้ามาใช้พื้นที่ แต่นั่นก็แค่บางส่วนของพื้นที่ที่มี เปรียบได้กับ...พื้นที่ของเงินดิจิทัลมีเพียงใบไม้บนฝ่ามือ เทียบไม่ได้กับป่าทั้งป่าของ “บล็อกเชน”
กลับเข้าสู่แนวคิดของรัฐบาล ผ่านกระทรวงการคลัง นั่นเพราะ นายสมคิด คาดหวังจะนำฐานข้อมูลที่เรียกว่า BIG DATA มาใช้เพื่อการวางแผนทั้งในเชิงของการบริหารงาน (ระดับประเทศ) การกำหนดนโยบาย การออกมาตรการสำคัญๆ รวมถึงวิเคราะห์พฤติกรรมในทุกมิติของคนไทยและภาคธุรกิจของไทย
จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องนำ “บล็อกเชน” เข้ามาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด และเป็นกระทรวงการคลัง ที่ดูจะพร้อมมากกว่ากระทรวง/หน่วยงานอื่นๆ ในขณะนี้
จึงเป็นที่มาของการเปิดตัว “บล็อกเชน” ในมิติของกระทรวงการคลัง เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะเทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ประเทศชั้นนำของโลกเปลี่ยนไปสู่ Smart Country ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศ เช่นกัน กระทรวงการคลังได้ผลักดันนโยบาย National e- Payment เพื่อก้าวสู่ Thailand 4.0 เริ่มจากโครงการพร้อมเพย์ และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่เนื่องจาก กระทรวงการคลังมีภารกิจหลักในการบริหารงบประมาณแผ่นดิน บริหารทรัพย์สิน และการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ โดยให้ความสำคัญอย่างมากในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ และตรวจสอบธุรกรรมข้อมูลของประเทศ รวมทั้งยกระดับประสิทธิภาพของโครงสร้างระบบงานของหน่วยงานในสังกัด
จึงผลักดันให้นำ “บล็อกเชน” มาใช้ในการจัดเก็บและตรวจสอบธุรกรรมข้อมูล ที่สามารถตอบโจทย์เรื่องความรวดเร็ว ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ที่สำคัญสามารถเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจองค์รวมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและผู้มาติดต่อขอใช้บริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบงาน การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล การหาแหล่งเงินทุน การบริหารทรัพย์สินและการประมูลงาน ยกระดับประสิทธิภาพระบบงาน ลดขั้นตอน รวดเร็ว ปลอดภัย โปร่งใส ตรวจสอบได้
“บล็อกเชน มาถูกนำมาพัฒนาระบบงาน ตั้งแต่ การจัดเก็บรายได้ การบริหารทรัพย์สิน บริหารรายจ่ายตามงบประมาณ ระบบการออม และระบบสวัสดิการต่างๆ ของประชาชน ซึ่งระยะแรกนี้ประกอบด้วย 8 โครงการ ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Government Procurement : e-GP) โดยบล็อกเชนของ e-GP มีการรวบรวมข้อมูลประวัติของผู้ประกอบการนิติบุคคล รวมถึงระบบ Rating ของผู้ประกอบการตามผลงานในการทำงานกับภาครัฐ สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการลดระยะเวลา และภาระของผู้ประกอบการในการจัดเตรียมเอกสาร เพื่อขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการและการยื่นเสนอราคา โดยจากข้อมูล ปี 2562 ภาครัฐมีการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 3.6 ล้านโครงการ วงเงินรวมกว่า1.4 ล้านล้านบาท ลดภาระให้ผู้ประกอบการกว่า 270,000 ราย เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความโปร่งใสของระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งช่วยผลักดันการใช้งบประมาณในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่รากหญ้าให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมโยงกับระบบของสถาบันการเงิน และระบบการประเมินคุณภาพแบบบูรณาการของผู้ประกอบการที่ร่วมงานกับภาครัฐได้อีกด้วย” รมว.คลังระบุ
นอกจากนี้ “บล็อกเชน” ยังจะเข้ามาช่วยในการคืนภาษีของนักท่องเที่ยว (VAT Refunds for Tourists), เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการของภาครัฐ อาทิ ลดเรื่องการตรวจเอกสาร ลดการใช้กระดาษได้สูงสุด 10 ล้านใบต่อปี ลดต้นทุนในการจัดการ ลดความหนาแน่นของคิวที่สนามบิน ลดต้นทุนในการบริหารจัดการเงินสด และสามารถคัดแบบข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกได้ทันที ฯลฯ
อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการออมผ่านพันธบัตรรัฐบาล ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ประชาชนทุกระดับชั้นสามารถเข้าถึงการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยระบบจะเชื่อมต่อกับตลาดหลัก และตลาดรอง รวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถขยายไปยังระบบการค้าระหว่างเขตชายแดน และในอนาคตสามารถขยายไปสู่นวัตกรรมอื่นๆ ต่อไป
ด้านการจัดเก็บภาษี ระบบบล็อกเชนจะช่วย Centralize and Digitize เอกสารทุกประเภทที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การสั่งสินค้า การผลิต การนำเข้า การส่งออก จนกระทั่งสินค้าถึงมือผู้รับ และช่วยให้กระทรวงการคลังสามารถประมาณรายได้การจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง ความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการผลิต การนำเข้าและส่งออก รวมถึงโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบรักษาพยาบาลในประเทศ การจัดทำราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
“นับเป็นก้าวแรกที่กระทรวงการคลัง นำ “บล็อกเชน” มาสร้างเศรษฐกิจสู่ชุมชน และก้าวที่สำคัญในการบูรณการความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงการคลัง เพื่อร่วมกันสร้างความแข็งแกร่ง ด้วยการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีบล็อกเชน มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและประเทศชาติ เข้าสู่ Thailand 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ” รมว.คลังย้ำ
โดย กากบาทดำ