ความแรงของหุ้นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ที่มีเป็นระลอก มักจะตีคู่มากับสตอรี่ หรือปัจจัยหนุนทางธุรกิจ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา หุ้นกัลฟ์ ได้ทำราคาปิดสูงสุดใหม่ตั้งแต่เข้าตลาด หรือทำออลไทม์ไฮ ที่ 170 บาท ใครถือหุ้นตัวนี้ตั้งแต่เข้าตลาดเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน หรือเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560 รู้หรือไม่ว่าคุณรวยเบอร์ใหญ่ เพราะมีกำไรถึง 278% จากราคาไอพีโออยู่ที่ 45 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ "ซื้อ" หุ้น GULF พร้อมปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 175 บาท จากเดิม 123 บาท เนื่องจากมองว่า การลงนามสัญญาโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 จะหนุนอัตรากำไรสุทธิของ GULF เพิ่มขึ้น มีอัตราผลตอบแทนต่อโครงการ (IRR) ระหว่าง 11-13.6% จะหนุนมูลค่าหุ้น GULF ประมาณ 22 บาทต่อหุ้น เพิ่มเป็น 50 บาทต่อหุ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เนื่องจากโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นเชื้อเพลิงจะเพิ่มขึ้นตามแผน PDP 2018
ขณะเดียวกันกัลฟ์ ได้ถือหุ้นบริษัท เอสพีซีจี (SPCG) เพิ่มเป็น 10 % ส่งผลให้ GLUF มีสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมในเวียดนาม สร้างการเติบโตในระยะยาว จึงปรับประมาณการกำไรต่อหุ้นทั้งปี 2562 ของ GULF ขึ้นอีก 36% จาก 3 ปัจจัยหนุนดังนี้
ปัจจัยแรก โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการพลังงานทดแทนอื่นในเวียดนามขึ้นเป็น 95% จากเดิม 49%
ปัจจัยที่ 2 โครงการปรับลดค่าใช้จ่ายลง 4-12% ระหว่างปี 2562-2564 เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเตากำมะถัน (HSFO)
ปัจจัยที่ 3 มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่บันทึกกำไรในช่วงครึ่งแรกของปี 2562
สำหรับปีหน้ากัลฟ์ มีสตอรี่มีอีกเพียบ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ นายรัฐพล ชื่นสมจิตต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GULF กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2563 จะมีกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2562 หลังจะมีโรงไฟฟ้าเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (ซีโอดี) เพิ่มขึ้นอีกราว 140 เมกะวัตต์ และรับรู้ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าที่ซีโอดี ในปีนี้ประมาณ 620 เมกะวัตต์ได้เต็มปีอีกด้วย ขณะเดียวกันก็ยังมองหาโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเติม
ปัจจุบัน กัลฟ์ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือ 12,000 เมกะวัตต์ ขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ หรือซีโอดี แล้ว 5,919 เมกะวัตต์ คิดเป็นกำลังการผลิตตามสัดส่วนร่วมทุนที่มีอยู่ในมือราว 6,500-6,700 เมกะวัตต์ ซีโอดีแล้ว 2,670 เมกะวัตต์
สำหรับปี 2563 จะมีโรงไฟฟ้าที่ซีโอดี ได้แก่ โรงไฟฟ้าไบโอแมส 20 เมกะวัตต์ ใน อ.จะนะ จ.สงขลา โรงไฟฟ้าพลังงานลม 30-80 เมกะวัตต์ในเวียดนาม และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในโอมาน เฟสแรก 40 เมกะวัตต์ จากที่มีอยู่ทั้งหมด 5 เฟส กำลังการผลิตรวม 326 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยเข้าระบบทั้งหมดภายในปี 2565
ส่วนการพัฒนาโครงการก๊าซฯ ในโอมาน เฟสแรก คืบหน้าแล้ว 60-70% ขณะเดียวกัน นายรัฐพล กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาโครงการที่สองในโอมาน ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน คาดว่าจะเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 500-1,000 เมกะวัตต์ เพื่อป้อนให้กับกลุ่มโรงงาน โดยจะเป็นการลงทุนร่วมกับพันธมิตรคาดว่าจะสรุปในปี 2563
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว นักลงทุนคงตัดสินใจได้แล้วว่า สำหรับคนที่ถือหุ้นกัลฟ์ ตั้งแต่ราคาไอพีโอ ควรถือต่อหรือขาย เช่นกัน..
คนที่ยังไม่มีหุ้นกัลฟ์ในพอร์ต ก็น่าจะพิจารณาได้เช่นกันว่าจะซื้อเพื่อห่อกลับบ้าน (ลงทุนระยะยาว) หรือแค่หาเงินค่ากาแฟสตาร์บัคส์ (เก็งกำไร)
โดย..ซิลลิ่ง