ตื่นตาตื่นใจ...ทำเอาคนไทยพากันตื่นเต้นไปกับการมะรุมมะตุ้ม “ทำงาน” ชนิดหัวปักหัวปำ ของฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ ที่จำต้อง “เด้งรับ” ใบสั่งเชิงนโยบายฯ ชนิด...แทบไม่มีวันหยุดพักผ่อน
เป้าหมายไม่เพียง...ลดทอนผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่หากสามารถเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจได้ ย่อมถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ
กระนั้น สิ่งที่ใกล้ตัวมากสุด ในความคิดของฝ่ายการเมือง ก็คือ...ทำอย่างไรจะขับเคลื่อนให้ผลงานที่เร่งผลิตในยามนี้ ส่งผ่านไปถึงคนกลุ่มเป้าหมายในระดับฐานรากให้มากที่สุด!
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สะท้อนว่า...การที่รัฐบาลอัดฉีดและใส่เงินในระบบผ่าน “กลุ่มทุน” ตั้งแต่ขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ และขนาดยักษ์นั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรมากนักกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างเครดิตให้กับ “รัฐบาลประยุทธ์” ตลอดช่วงเวลา 3-4 ปีแรก หลังทำรัฐประหารเมื่อปี 2557
เราจึงได้เห็นการที่รัฐบาจัดทำโครงการ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” จนได้คนจน 14.6 ล้านคนมาถือบัตรนี้ ต่อเนื่องจนมีชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่บางมาตรการได้เริ่มขับเคลื่อนกันไปแล้ว และอีกหลายมาตรการรอทยอยประกาศใช้กันออกมา
เมื่อครั้งที่ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “ศิษย์ก้นกุฏิ” ของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลเศรษฐกิจ เฉพาะในซีกของพรรคพลังประชารัฐ เท่านั้น เดินทางไปเปิดงาน “สัปดาห์ประกันภัย” ณ เมืองทองธานี เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านนั้น
มีประเด็นให้นักข่าวสายการเงิน-การคลัง และสายประกันภัย ได้เฝ้าติดตามกัน โดยเฉพาะประเด็นการผูกโยง “ระบบประกันภัย” เข้ากับ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่เกี่ยวพันกับคนจำนวนมากถึง 14.6 ล้านคน
แน่นอนว่า...หากสิ่งนี้เกิดขึ้นได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการประกันอุบัติเหตุส่วนบุคล (PA) ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างหลัง...ที่ฝ่ายการเมืองเคยเกริ่นนำให้นักข่าวฯ ได้ยินกันในทำนอง...
พ่วงการรักษาโรคร้ายแรง รักษายากและมีค่าใช่จ่ายแพง รวมเข้าไว้ในโครงการฯนี้เข้าไว้ด้วย
ล่าสุด ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน โดยย้ำว่า...
นโยบายเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ “ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” 14.6 ล้านคน เข้าถึงระบบประกันภัย ตั้งแต่ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) การประกันชีวิต และประกันสุขภาพ ครอบคลุมโรคร้ายแรงบางชนิดนั้น เป็นเรื่องดีและทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น คปภ.หรือธุรกิจประกันภัย ต่างเห็นด้วยในหลักการจากนโยบายของรัฐบาล
เพียงแต่บางเรื่องต้องหารือในรายละเอียด ขณะที่บางเรื่องโดยเฉพาะในส่วนของ PA หากนำมาใช้ร่วมกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่รัฐบาลมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว สามารถดำเนินการได้ทันทีที่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณตามที่ได้เสนอไป
“ผมได้เสนอโครงการประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล หรือ PA ไปให้ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้พิจารณาแล้ว ซึ่ง PA ถือเป็นการประกันภัยที่ไม่สลับซับซ้อนอะไรมากนัก หาก สศค.เห็นด้วยกับข้อเสนอของ คปภ. โดยเฉพาะงบประมาณที่เสนอไป ก็สามารถดำเนินการได้ทันที”
สำหรับเบี้ยประกันฯที่ คปภ.ได้เสนอไปมีหลายแนวทาง แต่แนวทางที่มีความเป็นไปได้ คือ การกำหนดเบี้ยประกันฯขั้นต่ำที่ 60 บาท/ปี หรือ 5 บาท/เดือน เพียงแต่จะไม่ครอบคลุมการจ่ายเงินชดเชย กรณีเกิดอุบัติเหตุและต้องเข้ารับการรักษาตัว ซึ่งหากให้ครอบคลุมในส่วนนี้ ค่าเบี้ยประกันฯอาจขยับขึ้นเป็น 99 บาท/ปี หรือ 8 บาทเศษ/เดือน โดยครอบคลุมเงินชดเชยได้ 200-300 บาท/วัน
เลขาธิการ คปภ.ย้ำว่า รูปแบบการทำ “พูลลิ่ง” หรือการกระจายความเสี่ยงที่ใช้กับการทำประกันภัยข้าวนาปี จนประสบผลสำเร็จตลอดหลายปีที่ผ่านมา จะถูกนำไปเป็นต้นแบบให้กับการทำประกันภัยอื่นๆ โดยเฉพาะ PA รวมถึงการประกันสุขภาพ การประกันชีวิต และประกันภัยใหม่ๆ ที่จะมีตามมาในอนาคต
“ฝ่ายนโยบายที่เคยกังวลใจว่า การเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านการทำประกันภัยให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาจทำให้ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับบางบริษัทประกันภัยได้ แต่พอ คปภ.อธิบายถึงรูปแบบ “พูลลิ่ง ซิสเต็ม” ที่ประสบผลสำเร็จกับการประกันภัยข้าวนาปีมาแล้ว ทำให้ฝ่ายนโยบายรู้สึกเบาใจ และมีแนวโน้มจะสั่งการให้ดำดนินการขับเคลื่อนโครงการที่จะนำระบบประกันภัยไปสู่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและคนฐานรากของประเทศได้เข้าถึงสวัสดิการดีๆ เช่นนี้” ดร.สุทธิพล ระบุและว่า
ในส่วนของการประกันสุขภาพและประกันชีวิตนั้น จากการศึกษาพบว่าผลิตภัณฑ์ของทั้ง 2 ตัวมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรายได้ของประชาชนและไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากนัก จำเป็นจะต้องสร้างระบบประกันสุขภาพและประกันชีวิตให้กับคนฐานรากผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ เพียงแต่ค่าเบี้ยประกันฯคงต้องเป็นราคาที่เหมาะสมและทุกฝ่ายยอมรับได้ ขณะที่กลุ่มคนที่มีความพร้อมทางการเงินก็ยังคงซื้อระบบประกันสุขภาพและประกันชีวิตระดับพรีเมี่ยมต่อไป
“หาก คปภ.ไปกำหนดกฎเกณฑ์บังคับให้บริษัทประกันภัยต้องเข้าร่วมโครงการฯ โดยที่บริษัทประกันภัยต้องแบกรับความเสี่ยงทางธุรกิจ สุดท้ายโครงการนี้ก็จะไม่ได้รับความสนใจและต้องล้มเลิกกันไป” ดร.สุทธิพล กล่าวและว่า
หากโครงการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงระบบประกันภัยให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเกี่ยวพันกับคนจำนวนมากถึง 14.6 ล้านคนสำเร็จ จะนับเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญของอุตสาหกรรมประกันภัยในแง่การเติบของค่าเบี้ยประกัยรับ ไม่เพียงแค่นั้น คปภ.ยังอยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถึงการนำระบบประกันภัยมาใช้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งแต่ละปีมีมากถึง 40 ล้านคน และยังไม่นับรวมเงื่อนไขตามข้อกฎหมายของหน่วยงานอื่นๆ ที่จะมีตามมาในอนาคตอีก ซึ่งนั่นจะทำให้ขนาดของอุตสาหกรรมประกันภัยของไทย เติบโตอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว
“สำนักข่าวเนตรทิพย์” นั่งดีดตัวเลขของงบประมาณที่ คปภ.เสนอผ่านไปยัง สศค. แค่เฉพาะในส่วนของ PA เท่านั้น นำยอดผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 40.6 ล้านคน คูณด้วยค่าเบี้ยประกันภัย PA (ครอบคลุมเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาล) คนละ 99 บาท/ปี
เม็ดเงินส่วนนี้ ทำให้รัฐบาลต้องควักจ่ายเฉพาะงบประมาณรวมกันมากกว่า 4,000 ล้านบาท
และหากนับรวมการประกันสุขภาพและประกันชีวิตที่ต้องใช้เงินเป็นค่าเบี้ยประกันฯ ต่อคนสูงกว่า PA หลายเท่าตัว รวมถึงเม็ดเงินจากโครงการประกันพืชผลทางการเกษตรและประมงพื้นบ้าน ที่ได้ดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้
เม็ดเงินงบประมาณจากการทำระบบประกันภัยรูปแบบต่างๆ ครบวงจร ผ่าน คปภ. รวมกันในแต่ละปีสูงมากจนอาจทำให้บางโครงการมีความล่าช้า และบางโครงการอาจถึงขั้นไม่ได้เกิดก็ได้
น่าจะเป็นอีกสิ่งที่สังคมไทยต้องจับตาดูกันต่อไปว่า...ที่สุดแล้ว โครงการประกันภัยทั้งระบบ ที่จะมีให้กับ “คนฐานราก” เฉพาะกลุ่มที่ถือ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” นั้น เอาเข้าจริงทำได้แค่ไหน?
ที่สุด! มันจะเป็นราคาคุยหรือไม่? อีกไม่นานได้รู้กัน!!!