ไม่เรียกว่าเป็น ”ยุคทอง” ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว!
สำหรับกลุ่มทุนยักษ์เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือเครือ ซี.พี. ภายใต้บังเหียนของ "ศุภชัย เจียรวนนท์" ที่ก้าวขึ้นมากุมบังเหียนแทน "เจ้าสัวธนินทร์ เจียรวนนท์" ที่ประกาศวางมือทุกตำแหน่งไปก่อนหน้านี้
ในขณะที่ธุรกิจน้อย-ใหญ่ต่าง "หืดจับหายใจไม่ทั่วท้อง" จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังจมปลัก ยังไขว่คว้าความหวังอะไรไม่เจอ หลากสำนักแย่งซีนกันกดตัวเลขเศรษฐกิจติดลบกันเป็นรายวัน จนทำเอาผู้คนต่างอกสั่นขวัญแขวนกับอนาคตของตนเอง
แม้รัฐบาลจะเข็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ไฟกะพริบ ทั้งแจกเงิน "ชิม ช็อป ใช้" ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย และหว่านเม็ดเงินลงไปไม่รู้กี่หมื่น กี่แสนล้านบาทเข้าไปแล้ว
แต่ก็แทบจะไม่เป็นผล ยังไม่สามารถจะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นกำลังซื้อ สตาร์ทเครื่องยนต์เศรษฐกิจให้ติดชึ่งขึ้นมาได้
ยุคทอง”ซีพี”..บิ๊กบึ้มลงทุนเฉียด 400,000 ล้าน!
ในส่วนของเครือซี.พี.นั้น ห้วงเวลานี้กลับกลายเป็น “นาทีทองแห่งการลงทุน” ของกลุ่มเป็นมือระวิง ไหนจะปาดหน้าคว้าสัมปทานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่ากว่า 2.24 แสนล้านบาท ไปแบบ "ม้วนเดียวจบ" ที่แม้แต่ซัพพลายเออร์ ผู้ผลิตระบบรถไฟฟ้าทั่วโลกก็ยังต้องหลบทางให้
แถมยังได้ทำเลทองผืนสุดท้ายสถานีรถไฟมักกะสัน มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาทแถมพกมาด้วยอีก ยังไม่รวมรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ที่รัฐและการรถไฟฯลงทุนไปกว่า 35,000 ล้านบาท กับเม็ดเงินสนับสนุนโครงการระหว่างก่อสร้างอีกกว่า 1.17 แสนล้าน
แม้เส้นทางฮุบสัมปทานรถไฟไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน จะเต็มไปด้วยอุปสรรค เพราะหน่วยงานรัฐคือการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยังมืดแปดด้านกับการเจรจาจัดทำร่างสัญญา และเคลียร์หน้าเสื่อที่ดินมนแนวเส้นทางที่จะต้องส่งมอบให้คู่สัญญาเพื่อจะปิดช่องโหว่ไม่ให้ต้องตกเป็นเบี้ยล่างคู่สัญญาเอกชน ถึงขั้นต้องเสียค่าโง่แบบโครงการโฮปเวลล์อีก
เจ้าสัวน้อย..นั่งแท่นประธานสภาดิจิทัล
แต่ท้ายที่สุด "เจ้าสัวน้อยศุภชัย" ที่เพิ่งจะฉลองตำแหน่งประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ก็ได้รับข่าวดีหลังที่ประชุมบอร์ดรถไฟฯ ชุดใหม่ ที่มี "จิรุตม์ วิศาลจิตร" อธิบดีกรมขนส่งทางบก เป็นประธาน ไฟเขียวร่างสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินชนิดที่ "ช้างก็ฉุดไม่อยู่"
แถมนายกฯ "บิ๊กตู่" ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ยังเปิดไฟเขียวผ่านตลอด สำทับในที่ประชุมบอร์ดอีอีซี ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกเพื่อเอื้อต่อการทำงานให้แก่บริษัทเอกชนที่เข้ามาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงสายนี้อย่างเต็มที่
เงื่อนไขการร่วมลงทุน "พีพีพี" ที่เกิดอีก 10 ชาติก็หาไม่ได้อีกแล้วในภพนี้ ไม่ถือว่าเป็น "ยุคทอง" ของกลุ่มทุนรายนี้ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว!
จ่อคว้าเมืองสนามบิน 200,000 ล้าน!
ไม่เพียงแต่ฮุบรถไฟไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน แม้แต่โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่ากว่า 200,000 ล้านที่กองทัพเรือโม่แป้งกันมาร่วมปี จนเห็นเค้าลางของผู้ชนะการประมูลกันไปแล้วล่าสุด คือ กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS ที่ประกอบด้วย บริษัท บีทีเอส โฮลดิ้ง (BTS) บางกอกแอร์เวย์ส และชิโน-ไทยเอนจิเนียริ่ง
แต่เมื่อกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท ธนโฮลดิ้งจำกัด ของกลุ่มทุน ซี.พี. ที่เข้าร่วมประมูลโครงการด้วย แต่ถูกตัดสิทธิด้วยข้ออ้างยื่นซองเอกสารข้อเสนอด้านเทคนิคและแผนธุรกิจล่าช้าไปกว่าไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้ จึงทำให้หมดสิทธิ์เข้าร่วมประมูลในชั้นสุดท้าย
แต่กระนั้นบริษัทก็ไม่ลดละความพยายามในการเดินสายร้องขอความเป็นธรรมไปทั่วสิบทิศ รวมทั้งเดินหน้ายื่นฟ้องคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการนี้ ต่อศาลปกครอง
ล่าสุดวันวาน ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาให้กองทัพเรือและคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าลงทุนในโครงการดังกล่าวที่มี ผบ.ทร. เป็นประธาน ต้องรับซองข้อเสนอของกลุ่มซีพี และดำเนินการพิจารณาข้อเสนอของกลุ่มด้วย โดยระบุว่า เงื่อนไขทีโออาร์ไม่มีความชัดเจนมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และประเด็นข้ออ้างในเรื่องของเงื่อนเวลาที่บริษัทเอกชนยื่นซองล่าข้าก็ไม่ใช่สาระสำคัญ จึงให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกฯรับพิจารณาเอกสารดังกล่าวให้เป็นไปตามขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกต่อไป
คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว ทำให้เส้นทางการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน "พีพีพี" โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกมูลค่ากว่า 2 แสนล้าน ที่คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกฯ เพิ่งตัดสินชี้ขาดกันไปล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา ให้ข้อเสนอของกลุ่มกิจการร่วมค้า BBS ที่กอปรด้วย บีทีเอส-บางกอกแอร์เวย์สและชิโน-ไทยฯ เป็นผู้ชนะประมูลโครงการมีอันจะต้องกลับไปเริ่มต้นกระบวนการพิจารณากันใหม่อีกระลอก และอาจต้องยกเลิกการประมูลไป เพื่อเปิดทางให้กลุ่มทุนซี.พี. เข้าร่วมชิงดำด้วย เพื่อสานต่อ "จิ๊กซอว์" โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่ทางกลุ่ม ซี.พี. คว้าสัมปทานไปก่อนหน้า
รับเต็มๆ... Single Rate!
วันวาน "คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ" (กสทช.) ออกมาตีปี๊บผลงานล่าสุดในการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมเลขหมายโทรศัพท์ที่เป็น "อัตราเดียว" หรือ Single Rate ทั้งในส่วนของเลขหมายโทรศัพท์ประจำที่ และบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่บอร์ด กสทช.เพิ่งอนุมัติกันไป และเตรียมบรรจุไว้ในร่างประกาศ กสทช.ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดสรรเลขหมายโทรคมนาคมใหม่
แต่เมื่อคลี่ดูไส้ในของแผนปรับปรุงค่าธรรมเนียมเลขหมายที่ว่า กลับพบว่ามีรายการ “หมกเม็ด” เอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนสื่อสารบางค่ายที่ได้ชื่อว่า “กินรวบ” ทุกธุรกิจที่รัฐบาลและการรถไฟกำลังเร่งสร้างผลงานเอาหน้ากันอยู่นั่นแหละ โดยที่ประชาชนคนไทยโดยทั่วไปได้แต่นั่งทำตาปริบๆ เพราะอีกเกือบ 100 ล้านเลขหมายในมือบริษัทสื่อสารค่ายอื่นนั้น ไม่ได้อานิสงส์ใดๆ จากการปรับลดค่าธรรมเนียมเลขหมายที่ว่านี้
หนักข้อเข้าบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมของรัฐ อย่าง บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กลับต้องแบกภาระจ่ายค่าธรรมเนียมเลขหมายเพิ่มขึ้นจากที่จ่ายค่าธรรมเนียมเฉลี่ย 1.38 บาท/เลขหมายต่อเดือน กลับต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1.62 บาท/เลขหมาย ซะงั้น
กลายเป็นว่าบริษัทสื่อสารของรัฐที่ปกติก็หืดจับหายใจไม่ทั่วท้องต้องเสียผลประโยชน์ แต่บริษัทสื่อสารเอกชนได้ประโยชน์จากอานิสงของการปรับโครงสร้างอัตราค่าธรรมเนียมเลขหมายใหม่นี้ไปเต็มๆ
จับตาปาหี่แบนสารพิษ!
ห้วงเวลาเดียวกัน ยังมีข่าวที่ทำเอาเกษตรกรในระดับรากหญ้าพากันลุ้นระทึกกับการที่ "หมอหนู - นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายก และ รมว.สาธารณสุข ที่ออกมา "ดับเครื่องชน" การนำเข้าและจำหน่าย 3 สารเคมีอันตราย อันได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไฟริฟอส สารกำจัดวัชพืชและแมลงศัตรูพืช ที่เกษตรกรส่วนใหญ่พยายามผลักดันให้มีการระงับการนำเข้ากันมานับทศวรรษ
หลังจากก่อนหน้านี้ “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” ที่เคยมีมติให้ยุติการนำเข้าสารเคมีอันตราย 3 ชนิด และให้ยกเลิกการใช้สารเคมีอันตรายกำจัดศัตรูพืชทั้ง 3 ชนิด ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
แต่ไม่รู้ Invisible hand หรือทุนการเมืองที่ไหนเดินเกมถึงสามารถผลักดันให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายจัดประชุมเพื่อทบทวนมติห้ามนำเข้าเดิมของตนเองไปแบบเงียบๆ เมื่อต้นเดือนเมษายน 2562 หลังการเลือกตั้งทั่วไป 24 มีนาคม 62 ไม่ถึงสัปดาห์ และได้ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2562
เมื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แทคทีมรัฐมนตรีในสังกัดออกมาดับเครื่องชน ประกาศจุดยืนในการแบน 3 สารอันตรายที่ว่านี้ และถึงขั้นตั้งโต๊ะออกแถลงการณ์ร่วมกับ 7 รัฐมนตรีในสังกัดพรรคภูมิใจไทยในจุดยืนร่วมในการแบน 3 สารเคมีทางการเกษตรข้างต้น หาไม่แล้วรัฐมนตรีในสังกัดก็พร้อมทบทวนตัวเอง ทุกฝ่ายจึงขานรับเชียร์กันสุดลิ่ม
อย่างไรก็ตาม แม้นาทีนี้ วินาทีนี้ ที่พรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ จะ "แทคทีม" พร้อมใจกันดับเครื่องชนเพื่อบีบให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติแบน 3 สารพิษที่ว่าให้หมดไปจากประเทศไทย
และแม้ว่า ก่อนหน้านี้ “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” จะออกมาประกาศจุดยืนสนับสนุนการยกเลิกใช้สารเคมีอันตรายเหล่านี้ รวมทั้งบริษัท เจียไต๋ ยังประกาศยกเลิกการนำเข้าสารเคมีทั้ง 3 ชนิดนับแต่ปี 2562 เป็นต้นไป
แต่หนทางในการแบน 3 สารเคมีทางการเกษตรให้หมดไปจากประเทศไทยก็ใช่จะทำได้ง่ายๆ ขนาดรัฐบาล คสช. ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตัวนายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี "ม. 44" อยู่ในมือแท้ๆ ยังไม่สามารถจะออกคำสั่งแบน 3 สารพิษที่ว่านี้ได้
จึงแทบไม่ต้องไปคาดหวังเลยว่า เส้นทางแบน 3 สารพิษที่ว่าจะกระทำได้ง่ายๆ แม้ว่า เราอาจได้เห็นคณะกรรมการวัตถุอันตรายจัดประชุมคณะกรรมการเพื่อให้มีมติ "หักดิบ" ในการแบน 3 สารเคมีที่ว่านี้อีกครั้ง ตามแรงบีบเค้นทางการเมือง
แต่ก็เชื่อแน่ว่า ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็จะเดินไปสู่ศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุดอยู่ดี
จุดนี้แหล่ะ คือ จุดที่จะชี้ชะตากรรมความพยายามในการแบนสารพิษที่ว่าอย่างแท้จริงว่า “ความคาดหวังที่ประชาชนและพี่น้องเกษตรกรวาดฝันเอาไว้นั้นจะไปถึงฝั่งหรือไม่”..
แน่นอน! หากท้ายที่สุดศาลปกครอง หรือศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาไม่ว่าจะในแนวทางใด ทุกฝ่ายคงได้แต่น้อมรับคำพิพากษาและสามารถพลิ้วเอาตัวรอดไปได้ว่า ได้ทำหน้าที่ต่อสู้เพื่อเกษตรอย่างถึงที่สุดแล้ว
แน่นอน! แม้เส้นทางแบน 3 สารพิษที่ว่า จะยังเดินไปไม่ถึงจุดนั้น แต่ผลประโยชน์นับหมื่นล้านที่ซุกเอาไว้ใต้พรหมของตลาดสารเคมีทางการเกษตรนั้น ไม่ต้องคาดไม่ต้องเดาทุกฝ่าย คงพอที่จะเดาทางออก งานนี้จะเป็นไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนหรือกลุ่มทุนทางการเมือง
คำตอบนั้นทุกฝ่ายรู้สาแก่ใจกันดีอยู่แล้ว!!!