แฉ! พนง.การท่าเรือ กลุ่ม “ขับเครน-เทรลเลอร์“ จ้องทำงานช่วงเวลา-วัน “โอเวอร์ไทม์” หวังรับค่าแรงพิเศษ 3 เด้ง แนะดึงกลุ่มเกษียณฯที่ยังมีศักยภาพกลับมาทำงาน ลดรายจ่ายปีละกว่า 10 ล้านบาท
หลายฝ่ายวิเคราะห์ตรงกัน! อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปี 2562 นั้น ดีสุด... การเติบโตไม่น่าจะมากกว่า 3% แต่โอกาสความเป็นได้แล้ว น่าจะขยายตัวอยู่ในระดับ 2.7-2.8% อันเป็นผลพวงมาจากปัญหาภายในและผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศ
การส่งออกที่เคยเป็น “กลไกตัวหลัก” ของเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด แต่กับวันนี้...ได้รับผลกระทบหนักสุด! จากที่เคยเติบโตเมื่อปี 2561 ที่ระดับ 6.7% (หลุดเป้าจากคาดการณ์เดิม 8%) มาในปี 2562 อาจต่ำกว่า 0% พูดง่ายๆ ว่า...ถึงกับ “ติดลบ” ด้วยซ้ำไป
ก่อนหน้านี้ (ปลายปี 2561) กระทรวงพาณิชย์เคยคาดการณ์ถึงการส่งออกของไทยในปี 2562 ว่า จะขยายตัวได้ถึง 8% เท่ากับที่เคยคาดการณ์เมื่อปี 2561 ทว่าในเวลาต่อมา ได้มีการปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของการส่งออกในปี 2562 ลงมาเรื่อยๆ จากระดับ 8% ก็ปรับลดลงมาเหลือ 5% และเริ่มทยอยปรับลดลงอีก...เป็น 3% และ 0% ตามลำดับ
ถึงตรงนี้...กระทรวงพาณิชย์ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน คงเห็นตรงกันแล้วว่า...การส่งออกของไทยในปี 2562 นี้...คงต้อง “ติดลบ” อย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการส่งออกของไทยจะหดตัวได้อย่างแรง กระนั้น หากเทียบเม็ดเงินที่เกิดจากภาพรวมการส่งออก รวมถึงยอดนำเข้า ตลอดช่วง 8 เดือนแรก (มกราคม - สิงหาคม 2562) ที่ผ่านมา ถือว่า...เป็นมูลค่าที่ไม่ได้น้อยลงไปสักเท่าใด
จากตัวเลขที่กระทรวงพาณิชย์ระบุไว้ คือ 166,091 ล้านดอลลาร์ หดตัว 2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และคิดเป็นมูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทที่ 5,206,697 ล้านบาท หดตัว 3.7% ขณะที่ การนำเข้ามีมูลค่า 159,984 ล้านดอลลาร์ หดตัว 3.6% หรือคิดเป็นมูลค่า 5,089,258 ล้านบาท หดตัว 5.0%
คาดการณ์กันว่า...มูลค่าการส่งออกทั้งปี 2562 ของไทย จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการนำเข้ารวมกันทั้งปี 2562 ก็น่าจะอยู่ในระดับ 230,000 – 240,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เห็นได้ชัดว่า...หากรวมยอดส่งออกและนำเข้าตลอดทั้งปี 2562 แล้ว รวมกันสูงเกือบ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เลยทีเดียว
ที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ต้องร่ายยาวและนำข้อมูลแบบละเอียดยิบออกมาให้เห็น ไล่ตั้งแต่...ตัวเลขจีดีพี ภาพรวมมูลค่ารวมของการส่งออกและนำเข้า เพราะทั้งหมดล้วนสัมพันธ์กับภารกิจการขนส่งสินค้าจากท่าเรือสำคัญๆ ในประเทศไทย..
เพราะทุกๆ การนำเข้าและส่งออกนั้น ต่างเกี่ยวข้องกับการขนถ่ายสินค้าและตู้สินค้า (คอนเทนเนอร์) จากบริเวณท่าเรือสู่เรือขนส่งสินค้า และจากเรือขนส่งสินค้าถึงบริเวณท่าเรือ ไม่ว่าจะในพื้นที่ของท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง หรือท่าเรือไหนๆ ในความรับผิดชอบของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ภายใต้การกำกับดูแลของ ร.ท.กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผอ.การท่าเรือฯ คนปัจจุบัน ที่จะต้องอยู่บริหารองค์กรแห่งนี้จนถึงช่วงปลายปี 2564 หรืออีก 2 ปีเต็มๆ
จะว่าไปแล้ว ร.ท.กมลศักดิ์ อดีตนายทหารเรือ ที่หันมาเอาดีกับการทำงานที่ กทท. ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2529 หรือเมื่อ 33 ปีก่อน ถือว่า...เป็น “ลูกหม้อ-คนเก่ง” ที่ “ไต่เต้า” ในการทำงานจากตำแหน่งผู้บริหารระดับล่างๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของ กทท. ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง...รอง ผอ.กทท.สายวิศวกรรม (2555) และ รอง ผอ.กทท.สายบริหารสินทรัพย์และพัฒนาธุรกิจ (2557) กระทั่ง ก้าวขึ้นเป็น ผอ.กกท. เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562
สิ่งหนึ่งที่ ร.ท.กมลศักดิ์ น่าจะต้องรู้ แต่อาจหลงลืม? ทั้งที่มีข้อมูลอยู่เต็มมือ! ก็คือ...ทุกๆ วัน จะต้องมีการขนถ่ายสินค้าและตู้สินค้า “ขึ้น-ลง” ระหว่างท่าเรือกับเรือบรรทุกสินค้า ไม่ว่าจะเป็นขาออก (ส่งออก) หรือขาเข้า กับทุกๆ ท่าเรือในความรับผิดชอบของ กกท.
ดูจากตัวเลขที่ ผอ.การท่าเรือฯคนนี้ เคยแถลงไว้เมื่อไม่น่านมานี้ ถึงผลการดำเนินงานของ กกท. ช่วง 9 เดือนของปีงบประมาณ 2562 (ตุลาคม 2561- มิถุนายน 2562) ว่า กกท.ได้ให้บริการขนส่งสินค้าและตู้สินค้าผ่านท่าเรือต่างๆ ของ กกท. โดยเฉพาะท่าเรือสำคัญๆ อย่าง...ท่าเรือกรุงเทพ, ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือเชียงแสน ที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าและตู้สินค้า 2,805 เที่ยว, 8,229 เที่ยว และ 2,093 เที่ยว ลำดับ
โดยท่าเรือกรุงเทพ เป็นเพียงท่าเรือเดียวในกลุ่มนี้ ที่มีการเติบโตของจำนวนเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 17.96% แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในนี้ ก็คือ การลดลงของจำนวนสินค้าผ่านท่า ที่เหลือเพียง 16.063 ล้านตันลดลง 2.82% ตู้สินค้าผ่านท่า 1.086 ล้านทีอียู ลดลง 3.66% (ทีอียู หรือ TEUs ย่อมาจาก Twenty-foot คือ หน่วยนับสินค้าที่บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ความยาว 20 ฟุต โดยตู้คอนเทนเนอร์ 20 ฟุต เท่ากับ 1 ทีอียู ตู้คอนเทอนเนอร์ 40 ฟุต เท่ากับ 2 ทีอียู)
กระนั้น จำนวนการขนถ่ายสินค้าและตู้สินค้าผ่านท่าเรือกรุงเทพ ก็มีสูงมาก... ถึงกว่า 2,800 เที่ยว ตลอด 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ซึ่งทำให้ปริมาณการทำงานของบุคลากร รวมถึงเครื่องจักรกลที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น...เครนสำหรับยกตู้สินค้า, รถยก และรถพ่วงเทรลเลอร์ (12-18 ล้อ) ฯลฯ จัดว่าหนักและเหนื่อย ตามปริมาณการนำเข้าและส่งออกที่มีรวมกันในแต่ละปีเป็นจำนวน และมีให้เห็นในทุกๆ วัน ทุกๆ ชั่วโมง ตลอดทั้งวัน ทั้งสัปดาห์ และทั้งเดือน
หากดูจากตารางการทำงานของพนักงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขนถ่ายสินค้าและตู้สินค้าผ่านท่าเรือกรุงเทพ ในแต่ละวัน แยกเป็นช่วงเวลาทำงานปกติ 08.30 – 16.30 น. ของวันทำงานปกติ (จันทร์-ศุกร์) ซึ่งพนักงาน กกท.ทุกคน จะต้องทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายกันมาแล้ว คนกลุ่มเดียวกันนี้ ยังคงจัดแบ่งเวลามาทำงานในช่วงเวลาพิเศษ ที่เรียกว่า การทำงาน “ล่วงเวลา” ทั้งในวันทำงานปกติ และวันหยุด (เสาร์-อาทิตย์) รวมถึงวันหยุดพิเศษ/นักขัตฤกษ์ ซึ่งมีทั้งวันหยุดแค่ 1-2 วัน ไปจนถึงวันหยุดยาว (เทศกาลปีใหม่ และสงกรานต์)
โดยการทำงาน “ล่วงเวลา” นี้ หากเป็นช่วงเวลาระหว่าง 16.30 – 24.00 น. หรือ 24.00 – 07.00 น. (ช่วงเวลา 07.00 – 08.30 น. จะเป็นช่วงหยุดพักเพื่อทำความสะอาดก่อนเริ่มงานในวันใหม่) ของวันทำงานปกติ (จันทร์-ศุกร์) พนักงานที่ทำงาน ก็จะได้รับเงินพิเศษ (ค่าล่วงเวลา) 1 เท่าของค่าจ้างรายวัน (ค่าจ้างรายเดือนหารด้วย 30 วัน)
แต่หากเป็น ”ช่วงเวลา 16.30 – 24.00 น. หรือ 24.00 – 07.00 น.ของวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และ/หรือวันหยุดพิเศษแล้ว ค่าแรงจะพุ่งขึ้นเป็น 3 เท่าตัว”..
ประเด็นคือ พนักงานส่วนใหญ่ จ้องจะทำงานในช่วงเวลาพิเศษของวันหยุดและวันหยุดพิเศษหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อหวัง “ทริปเปิ้ล” หรือค่าจ้าง 3 เท่าของค่าแรงที่ได้รับ กลายเป็นว่า...การทำงานปกติ ถือเป็นช่วงเวลาพักผ่อน ไปลุยกันจริงๆ ในช่วงเวลาพิเศษหรือวันหยุดฯ
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามมา ซึ่ง “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” เชื่อว่า...ผอ.กกท. คนนี้ น่าจะรู้ แต่อาจคาดไม่ถึง สิ่งนี้ก็คือ...ภาระรายจ่ายที่ กกท. ต้องจ่ายเป็น “ค่าล่วงเวลา” ให้กับพนักงานกลุ่มนี้ ที่มีสูงถึงกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน (เฉพาะที่ท่าเรือกรุงเทพ)
ทางออกของเรื่องนี้ น่าที่ กกท. ในยุคของ ร.ท.กมลศักดิ์ ควรยึดโยงการดำเนินงานเช่นที่ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง กำลังดำเนินการอยู่ นั่นคือ การที่ นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ ประกาศเปิดรับสมัคร อดีตข้าราชการในสังกัดฯ ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ตรงด้านการทำ “รังวัด” เพื่อดึงเอาคนวัยเกษียณอายุราชการเหล่านี้ กลับมาทำงานให้กับต้นสังกัดเดิม เพื่อเร่งทำ “รังวัด” ตรวจหาพิกัดของที่ดินราชพัสดุที่มีมากกว่า 12 ล้านไร่ทั่วประเทศ และต้องทำเป็นการเร่งด่วน!
ข้อดีของวิธีการนี้ คือ การได้คนเก่า ที่มีประสบการณ์ตรง มีวุฒิภาวะสูง และคอนเน็กชั่นกลับทีมงานเดิมๆ กลับมาร่วมงานฯ และลดรายจ่ายของต้นสังกัดได้เป็นจำนวนมหาศาลในแต่ละปี
กรณีของ กกท. โดยเฉพาะเรือกรุงเทพ ที่มีตารางเวลาทำงานของสายงานที่เกี่ยวข้องกับ...คนรับรถเครนและรถพ่วงเทรลเลอร์ มากถึง 3 ช่วงเวลา ตลอดทั้งวัน ทั้งสัปดาห์ ทั้งเดือน และทั้งปี โดยที่ 2 ช่วงเวลาในนั้น เป็นการทำงานในแบบ ที่ กกท.ต้องจ่ายค่า “ล่วงเวลา” ในอัตราที่สูง สำหรับวันหยุดและวันหยุดพิเศษ
หาก กกท.ภายใต้การนำของ ร.ท.กมลศักดิ์ เปิดรับ “พนักงานวัยเกษียณฯ” อายุตั้งแต่ 61 – 65 ปี และ 66-70 ปี (ผ่านการตรวจวัดสุขภาพร่างกายและสายตามาแล้ว) กลับมาร่วมงานในตำแหน่ง...คนขับรถเครนและคนขับรถพ่วงเทรลเลอร์แล้ว ไม่เพียงจะมาช่วยแบ่งภาระของพนักงานประจำที่มีจำนวนจำกัด แต่ยังต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ และต้องเสี่ยงกับอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน เพียงเพราะมีตารางเวลาทำงานตามที่ “ต้นสังกัด” กำหนดไว้เท่านั้น หากยังเป็นช่วยเหลือ “พนักงานวัยเกษียณฯ” ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็ล้วนเป็น “คนเก่าของ กทท.” ทั้งสิ้น ให้พวกเขาได้กับมาทำงานตามที่ถนัด มีรายได้ มีความสุข และมีคุณค่าของชีวิตกลับคืนมา
ที่สำคัญ กกท.เอง ก็ยังจะลดภาระรายจ่าย “ค่าล่วงเวลา” อีกปีละหลาย 10 ล้านบาท
การดึงเอา “พนักงานวัยเกษียณฯ” เหล่านั้น กลับมาทำงาน พร้อมกับมอบหมายภารกิจให้พวกเขาได้เข้ามาแทนที่การทำงาน “ล่วงเวลา” ของพนักงานประจำ โดยจ่ายในรูปของเงินเดือนและสวัสดิการเท่าที่จะพึงจ่ายได้
เรื่องง่ายๆ แค่นี้...“สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ที่ได้รับการร้องเรียนมาจาก “อดีตพนักงาน กทท.” หลายคนก่อนหน้านี้
เชื่อว่า...ร.ท.กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผอ.การท่าเรือฯคนปัจจุบัน คงทำได้ไม่ยากนัก เพราะนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะ รองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ต่างก็สนับสนุนให้มีการดึง “คนวัยเกษียณ” กลับมาร่วมงานอยู่แล้ว
โดย..กากบาทดำ