“ชิมช้อปใช้” เฟส 2 วันแรกเดินเครื่องแล้ว ซีกรัฐบาลเห็นต่างจากฝ่ายค้าน มั่นใจกระตุ้นเศรษฐกิจภาพใหญ่และหนุนเศรษฐกิจฐานรากได้ชัวร์ เผยยอดขายร้านค้าชุมชนขยับเพิ่ม 30-100% ขณะที่สัดส่วนยอดขายร้านค้าย่อยกับโมเดิร์นเทรด 82 : 18 ตามลำดับ
เหรียญย่อมมี 2 ด้าน!
ขณะที่ 7 พรรคฝ่ายค้านและนักวิชาการบางส่วน มองเห็นเป็นความล้มเหลว สิ้นเปลืองงบประมาณ ได้ไม่คุ้มเสีย และไม่ก่อเกิดแรงจูงใจในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทว่าในมุมของรัฐบาล โดยกลุ่มคนที่ข้องเกี่ยวกับการเข็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งด้านการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศออกมาใช้ก่อนหน้า กลับเห็นต่างออกไป พวกเขาเชื่อว่า…หากมาตรการนี้ ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากรัฐบาลและทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อให้มันได้ก้าวเดินไปข้างหน้าในห้วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว
มาตรการ “ชิมช้อปใช้” จะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งในภาพใหญ่และในภาพของเศรษฐกิจฐานราก กระจายตัวไปสู่เศรษฐกิจในระดับชุมชน ผ่านการใช้จ่ายเงินแก่คน 10 ล้านคนในเฟสแรก และอีก 3 ล้านคนในเฟส 2 ที่เพิ่งจะเปิดให้มีการลงทะเบียนกันไปเมื่อช่วงเช้า 06.00 น. ของวันแรก (24 ตุลาคม) เฉพาะ 5 แสนคนแรก และจะเปิดอีกครั้งในช่วงเย็น 18.00 น. เพื่อรับลงทะเบียนอีก 5 แสนคน จนกว่าจะเต็มยอด 3 ล้านคน ในอีก 2-3 วันที่เหลือนับจากนี้
ผู้สื่อข่าว “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” รานงานว่า ในการเปิดรับลงทะเบียนตามมาตรการ “ชิมช้อปใช้” เฟส 2 ในวันแรก เริ่มขึ้นเมื่อช่วงเวลา 06.00 น. ของวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมีผู้สนใจเข้าลงทะเบียนและเต็มจำนวน 500,000 คน ในช่วงเช้าฯ เมื่อเวลา 07.18 น. โดยจะเปิดรับลงทะเบียนอีกครั้งของวันนี้ในช่วงเวลา 18.00 น. ซึ่งเป็นเวลาลงทะเบียนใหม่ภายหลังการปรับเปลี่ยนจากเฟสแรก
ทั้งนี้ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ระหว่างการแถลงข่าวที่กระทรวงการคลังว่า จำนวนที่เปิดรับผู้สมัครลงทะเบียนจำนวน 3 ล้านคนในเฟส 2 ถือเป็นความเหมาะสมและสอดรับกับสถานการณ์ในขณะนี้แล้ว ทั้งนี้ คงต้องรอให้มาตรการฯ ที่เพิ่งมีการริเริ่มได้ทำงานไปสักระยะ เพื่อประเมินถึงความสำเร็จของมาตรการฯ ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่ามาตรการ “ชิมช้อปใช้” จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม ส่งเสริมสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและร้านค้าในชุมชนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหลังจากธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ดึงเอาร้านค้ารายย่อยในเครือข่ายรวมกันกว่า 2 แสนรายมาเข้าร่วมมาตรการดังกล่าว
ด้านนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) กล่าวว่า หลังจากที่ตนได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมการใช้จ่ายตามาตรการ “ชิมช้อปใช้” ในภูมิภาคต่างๆ นั้น ยังไม่พบปัญหาหรือข้อร้องเรียนใดๆ นอกจากสิ่งที่ผู้ประกอบการรายย่อยและร้านค้าชุมชนต้องการให้มีการเปิดกว้างรับร้านค้าเพิ่มเติม การเพิ่มแรงจูงใจในการใช้จ่าย และเพิ่มเฟส 2 รวมถึงขยายเวลาการใช้จ่ายไปจนถึงสิ้นปี2562 ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว
ทั้งนี้ หลังจากมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ได้เริ่มทำงาน พบว่า ผู้ประกอบการรายย่อยและร้านค้าชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปกติถึง 30% โดยเฉพาะที่ จ.นครราชสีมา พบว่า มียอดขายสูงถึง 1 เท่าตัว (100%) ทีเดียว โดยเชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยผลักดันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในชุมชนต่างๆ ได้ดีขึ้น
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวโน้มความสำเร็จของมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ในเฟส 2 ว่า ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะมีโอกาสความสำเร็จมากขึ้น หลังจากรัฐบาลได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนรูปแบบและเพิ่มแรงจูงใจ โดยเฉพาะการเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการโรงแรม, รถเช่า, บริษัททัวร์ และธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยว ที่มีสาขาและเครือข่ายอยู่ในจังหวัดต่างๆ เข้าร่วมมาตรการได้ทันที โดยไม่ปิดกั้นเหมือนในเฟสแรก
ขณะที่ร้านค้าโมเดิร์นเทรดยังคงใช้เงื่อนไขเดิม เนื่องจากเป้าหมายเดิมของมาตรการ คือ ต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยและร้านค้าชุมชนได้มีโอกาสจากมาตรการนี้ ทั้งนี้ ปัจจุบันพบว่า สัดส่วนการใช้จ่ายระหว่างผู้ประกอบการรายย่อยและร้านค้าชุมชน กับร้านค้าโมเดิร์นเทรด อยู่ที่ 82 : 18 ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ค้าและประชาชนในฐานะผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
“สำหรับการใช้จ่ายในเฟสแรกนั้น ถึงตอนนี้มีผู้ได้รับสิทธิ์และใช้จ่ายเงินรวมกันแล้ว ราว 9.3 ล้านคน และมียอดการใช้จ่ายในกระเป๋า 1 กว่า 9,000 ล้านบาท ขณะที่การใช้จ่ายในกระเป๋า 2 ยังคงอยู่ที่ระดับ 200 ล้านบาท ทั้งนี้ เชื่อว่า ภายหลังการปิดรับสมัครลงทะเบียนในเฟส 2 จำนวน 3,000 คน ซึ่งจะได้กลุ่มคนทำงานที่มีแนวโน้มจะใช้กระเป๋า 2 รวมกับแรงจูงใจที่ปรับเพิ่มสิทธิ์รับเงินคืน 20% และการขยายเวลาไปจนถึง 31 ธันวาคม 2562 ทั้งในกลุ่มเฟสแรก และเฟส 2 น่าที่จะทำให้ภาพรวมการใช้จ่ายในกระเป๋า 2 เพิ่มมากกว่ากว่าช่วงที่ผ่านมา” โฆษกกระทรวงการคลังย้ำ