กังหันลมเป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเป็นเครื่องจักรผลิตไฟฟ้า ราคาต่อเมกกะวัตต์ถูกลงบ้าง ยังไม่แพงเช่นโซล่าเซลล์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าระบบโซล่าเซลซ์ตกไป 50% ในขณะที่พลังงานลมลดลงเพียง 5-10%”
สมาคมฯ คงจะเร่งสร้างความเข้าใจกับภาครัฐมากขึ้น อยากให้รัฐเล็งเห็นว่าพลังงานลมเป็นพลังงานทดแทนอีกรูปแบบหนึ่ง ขณะนี้ได้พัฒนามาแล้วจำนวน 32 โครงการ ผลิตไฟฟ้าได้กว่า 1,500 MW จึงแสดงถึงศักยภาพที่ดี
หากรัฐบาลต้องการมีแหล่งพลังงานใหม่ๆเข้าไปเสริมแหล่งพลังงานหลักควรเร่งส่งเสริมพลังงานทดแทนให้มากขึ้นเนื่องจากพลังงานประเภทนี้ไม่ได้สร้างมลพิษและยังมีศักยภาพด้านการผลิตที่ดีป้อนให้เพียงพอต่อความต้องการได้อีกด้วย
ข้อความข้างต้นคือ “ไฮไลต์” ของพลังงานทดแทนในรูปแบบ ”กังหันลม”..
ปัจจุบันเชื่อว่าหลายคนคงจะเห็นภาพการใช้พลังงานทดแทนรูปแบบโซล่าเซลซ์ที่ติดตั้งตามพื้นที่ขนาดใหญ่และติดตั้งตามอาคารบ้านเรือนต่างๆ
แต่ยังมีอีกหนึ่งพลังงานทางเลือก นั่นคือ..”พลังงานลม” ที่สามารถนำมาสร้างผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ด้อยไปกว่าพลังงานอื่นๆ
อีกทั้งประเทศไทยยังมีศักยภาพของพลังงานลมในหลายพื้นที่ขอเพียงรัฐบาลเร่งส่งเสริมการลงทุนอย่างจริงจังเท่านั้น
เรื่องนี้ผู้สื่อข่าวสำนักข่าว “เนตรทิพย์ ออนไลน์” ได้โอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “อัครินทร์ สุวรรณรัตน์” นายกสมาคมกังหันลม (ประเทศไทย) ถึงบทบาทการขับเคลื่อนด้านการผลิตพลังงานทดแทนในรูปแบบการผลิตจากกังหันลมในปีนี้ว่า อยู่ระหว่างดำเนินการ 2 ประการ คือ..ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการผลิตพลังงานลมให้สามารถพัฒนาได้ต่อเนื่อง และคอยช่วยเหลือสมาชิกที่มีปัญหาอุปสรรคที่เกิดความไม่เข้าใจระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพราะเชื่อว่าภาครัฐยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องพลังงานลมจึงกำหนดกฎหมายออกมาอย่างไม่สอดคล้องกับการพัฒนา
สมาคมฯ จึงเหมือนผู้ประสานระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนที่จะอธิบายว่า บางประเด็นมีข้อจำกัดอย่างไร มาตรฐานที่ประเทศอื่นดำเนินการกำหนดไว้อย่างไร เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมในต่างประเทศเกิดขึ้นมานาน อาทิ เดนมาร์ก เยอรมนี ซึ่งประเทศไทยต้องเรียนรู้จากกลุ่มประเทศเหล่านี้ให้สามารถขับเคลื่อนโครงการต่อไปได้..
ภาพรวมด้านการผลิตพลังงานลมของไทยเป็นอย่างไร?
ด้านภาพรวมการผลิตพลังงานลมจากกังหันลมของไทยปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าพลังงานลมจำนวน 32 โครงการ โดย 22 โครงการอยู่ในระดับ SPP (ขนาดไม่เกิน 90 MW) โดยมีขนาดเล็กกว่า 10 MW จำนวน 8 แห่ง และโครงการขนาดเล็กอีก 2 แห่ง รวมกำลังการผลิตทั่วประเทศปัจจุบันประมาณ 1,500 MW
แต่หากเทียบกับระบบโซล่าเซลล์ที่มีอยู่ประมาณ 2,700 MW ยังถือว่าห่างกันเกือบ 2 เท่า ซึ่งเต็มตามจำนวนที่กำหนดไว้ในแผนรอบแรก
ส่วนแผนรอบที่ 2 รัฐบาลยังไม่อนุมัติให้เริ่มดำเนินการ จึงถือว่าประเทศไทยมีศักยภาพด้านการผลิตพลังงานลม มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านพลังงานลมเป็นอย่างดี และเครื่องจักรมีพร้อมดำเนินการ ในส่วนของการสร้างความรู้ความเข้าใจต่อชุมชนหรือประชาชนนั้นทางสมาคมฯดำเนินการโดยยึดวัตถุประสงค์ที่ว่าพลังงานลมยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวประชาชน มากกว่าพลังงานจากแสงแดด ดังนั้น การติดตั้งในระดับความสูงที่ถูกต้องกับกระแสลมจึงเกิดประสิทธิภาพด้านการป้อนพลังงานลมขึ้นในประเทศ ดังนั้นสมาคมฯจึงจัดกิจกรรมเวิร์คชอปขึ้นในทุกไตรมาสเพื่อให้ทุกหน่วยเกิดความเข้าใจมากขึ้น
สำหรับประสิทธิภาพการผลิตกังหันลมสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากเกือบ 30% แม้จะเป็นพลังงานที่มองไม่เห็นแต่ยิ่งวัดจะพบว่ามีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีมากกว่าภาคอื่นๆรองลงมาจะพบมากในภาคใต้ โดยเฉพาะลุ่มน้ำสำคัญโดยพบว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้มากกว่า 5,000 MW โดยจากจำนวน 1,500 MW จะติดตั้งในภาคใต้ประมาณ 200 โครงการ ส่วนอีก 1,300 โครงการอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อะไรคือจุดเด่นของพลังงานลม ในพื้นที่ไหนเหมาะสมบ้างที่จะติดตั้งบ้าง?
นอกจากนั้น สมาคมฯ ยังได้ทำการวัดศักยภาพในจุดพื้นที่ที่คาดว่าจะมีพลังงานลมทั่วประเทศไปแล้วเพียง 30% เท่านั้น โดยพลังงานลมมีจุดเด่นหลักๆ คือ สามารถผลิตพลังงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถเป็นแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าที่จะป้อนให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านพลังงาน ซึ่งเป็นพลังงานทดแทนที่ไม่มีมลพิษ ไม่มีต้นทุนเช่นพลังงานจากถ่านหิน น้ำมัน หรือแก๊ส ใช้พื้นที่น้อยในการติดตั้ง พบว่าหลายจังหวัด เช่น จังหวัดชัยภูมิ เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ยังมีประสิทธิภาพในการติดตั้งกังหันลมได้อีกหลายจุด
สำหรับพลังงานลมในรูปแบบการติดตั้งกังหันลมเริ่มเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยราว 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่โซล่าเซลล์มีมานานกว่า 30 ปี โดยพลังงานลมในประเทศไทยเหมาะสำหรับใช้เป็นโรงไฟฟ้ามากกว่าการติดตั้งตามบ้านเรือนเช่นโซล่าเซลล์ พื้นที่การติดตั้งต้องสามารถเข้าถึงได้ง่ายเนื่องจากใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ขนาดใหญ่นั่นเอง
ประการสำคัญหากดูข้อมูลจากแผนการปฏิรูปประเทศจะมีพลังงานทดแทน 30% ในอีก 15 ปี แต่ในแผน Power Development Plan : PDP ยังตั้งเป้าไว้เพียง 18% เท่านั้น คาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุทธศาสตร์ชาติมากขึ้นต่อไป เนื่องจากสัดส่วนพลังงานทดแทนในประเทศไทยยังน้อยกว่า 10% ซึ่งหากดูตามแผนปฏิรูปควรมากกว่า 30% ทั้งพลังงานลม พลังงานแสงแดด หรือไบโอแก๊สต่างๆ
มองนวัตกรรมกังหันลมในประเทศไทยเป็นอย่างไร?
จัดว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเป็นเครื่องจักรผลิตไฟฟ้า ราคาต่อเมกกะวัตต์ถูกลงบ้าง ยังไม่แพงเช่นโซล่าเซลล์โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ระบบโซล่าเซลล์ตกไป 50% ในขณะที่พลังงานลมลดลงเพียง 5-10% แต่พลังงานลมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวกังหันลมมีขนาดใหญ่ขึ้น ขนาดประมาณ 2-3 MW ต่อตัว ดังนั้นโรงไฟฟ้าขนาด 90 MW SPP จึงมีการติดตั้งมากถึง 30 ตัว
ปัจจุบันเริ่มนำขนาด 5 MW เข้ามาติดตั้ง สามารถติดตั้งในทะเลอ่าวไทยและตามพื้นดิน โดยพบว่า มีขนาดใหญ่มากถึง 12 MW ติดตั้งได้สูงขึ้น 150-200 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางของใบพัด 120-130 เมตรเท่านั้น ราคาต่อโรงไฟฟ้าจึงลดลงไปมาก ต้นทุนพลังงานทดแทนจึงลดลงตามไปด้วย
มีแนวทางขับเคลื่อนโครงการต่อไปอย่างไร?
แนวทางการส่งเสริมยังต้องการให้ภาครัฐมีความเข้าใจถึงประโยชน์และการลงทุนในส่วนนี้มากขึ้น โดยช่วงก่อนนี้มีประเด็นการใช้ที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินและเกษตรกรรม (สปก.) เกิดขึ้นทั้งๆ ที่จุดติดตั้งใช้พื้นที่เพียง 1 ไร่เท่านั้น เกษตรกรในพื้นที่รอบๆ ยังใช้ประโยชน์ได้ตามปกติ
“ยอมรับว่าธุรกิจการติดตั้งกังหันลมยังเข้าถึงประชาชนได้ไม่ทั่วถึง เนื่องจากติดตั้งด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ภาครัฐจึงไม่สนใจการพัฒนาที่มองว่าไม่เกิดประโยชน์ต่อชุมชน หรือประชาชนในพื้นที่นั้นๆ แต่ลืมมองไปถึงอนาคตข้างหน้าว่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมการลงทุนของประเทศ แต่มั่นใจว่าปัจจุบันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วมากขึ้น ประการสำคัญน่าจะสอดคล้องกับแผนระยะยาวของประเทศที่จะมีการซื้อขายพลังงานข้ามโซนได้ เนื่องจากพลังงานทดแทนเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ และยังเชื่อว่าภายใน 5 ปีนี้ราคาไม่ใช่ปัญหาของการซื้อ-ขายพลังงานทดแทนอีกต่อไป”
สำหรับการเคลื่อนย้ายการลงทุนของนักลงทุนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของ 2 มหาอำนาจของโลกนั้นยังไม่เห็นท่าทีชัดเจน แต่ยืนยันว่าอุตสาหกรรมด้านนี้ในไทยมีศักยภาพสูงมาก เครื่องจักรหลายอย่างไทยสามารถผลิตได้แล้ว ความพร้อมภาคอุตสาหกรรมมีครบแต่แผนการพัฒนาพลังงานทดแทนกลับถูกย้ายแผน PDP ไปอยู่ช่วงท้ายๆ
หากดูจากแผนปัจจุบันที่เริ่มปรับเปลี่ยนมาตั้งแต่ปี 2559 จะเริ่มสร้างในอีก 15 ปีหลังจากนี้ จึงไม่เกิดความต่อเนื่องของอุตสาหกรรมนักลงทุนจึงมองว่าหากเข้ามาลงทุนแล้วยังขายในประเทศไม่ได้จึงไม่น่าสนใจ ภาครัฐจึงควรเร่งส่งเสริมโดยเร็ว
“สมาคมฯ คงจะเร่งสร้างความเข้าใจกับภาครัฐมากขึ้น อยากให้รัฐเล็งเห็นว่าพลังงานลมเป็นพลังงานทดแทนอีกรูปแบบหนึ่ง ขณะนี้ได้พัฒนามาแล้วจำนวน 32 โครงการ ผลิตไฟฟ้าได้กว่า 1,500 MW จึงแสดงถึงศักยภาพที่ดี อีกทั้งมีการสำรวจไปแล้ว 30% พบว่า สามารถผลิตได้ถึง 5,000 MW
ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการมีแหล่งพลังงานใหม่ๆเข้าไปเสริมแหล่งพลังงานหลักควรเร่งส่งเสริมพลังงานทดแทนให้มากขึ้นเนื่องจากพลังงานประเภทนี้ไม่ได้สร้างมลพิษและยังมีศักยภาพด้านการผลิตที่ดีป้อนให้เพียงพอต่อความต้องการได้อีกด้วย”