ดูเหมือนว่า โครงการจ้างศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) บนพื้นที่นอกรั้วศุลกากรราว 2,000 ไร ล่าสุดส่อแววยืดเยื้ออีกแล้ว
โดยเฉพาะ 4 แปลงหลักของทำเลทองใจกลากรุงเทพมหานครแห่งนี้ เมื่อติดตามอย่างต่อเนื่อง จะพบว่า มีการจ้างศึกษาครั้งแล้วครั้งเล่า ใช้งบไปจำนวนมาก แต่กลับไม่พบว่า จะมีความก้าวหน้าเรื่องการพัฒนาโครงการแต่อย่างใด..
คำถามข้อสงสัยเริ่มถูกจับวงคุยกันของพนักงาน กทท. ขยายวงกว้างมากขึ้นว่า เหตุใดจึงไม่ได้เห็นการพัฒนาตามผลการศึกษา และใคร??? ได้ประโยชน์ในเรื่องนี้ การเมืองหรือทุนกลุ่มไหนอยู่เบื้องหลังกันแน่!
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าว “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ได้รับการเปิดเผยจากนายศักดิ์ชาย กุลสนั่น ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (สร.กทท.) ว่า สหภาพ กทท. ได้เข้าไปตรวจสอบการขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ของกทท.อย่างเข้มข้น พบว่า หลายโครงการมีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ล่าสุดได้แสดงความชัดเจนคัดค้านตามที่บริษัทที่ปรึกษานำเสนอด้วยการเปิดรับฟังความเห็นต่อการนำพื้นที่นอกรั้วศุลกากรไปสร้างเมืองใหม่ ทั้งๆ ที่ภารกิจหลักของ กทท.คือการขับเคลื่อนด้านโลจิสติกส์ของประเทศ โดยปฏิบัติงานมาแล้ว 68 ปี ตาม พ.ร.บ.ปี พ.ศ.2494 ได้เน้นชัดเจนเกี่ยวกับการขนส่งทางน้ำมากกว่าจะไปเน้นพัฒนาด้านอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ประการสำคัญโครงการดังกล่าวยังมองได้ชัดเจนว่าไม่ได้มีส่วนต่อการพัฒนาประเทศชาติ
ส่วนแผนรองลงมา ไม่ว่าจะพัฒนาเป็นท่าเรือท่องเที่ยว ดังนั้นการจะเปลี่ยนแปลงใดๆ จะต้องมองย้อนกลับไปในอดีตที่ กทท. มีภารกิจหลักอย่างเข้มแข็งมาโดยตลอด ต้องวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนต่างๆ โอกาสทางธุรกิจตลอดจนผลกระทบด้านต่างๆ ให้รอบคอบด้วย ซึ่งจุดแข็งของ กทท.คือภารกิจหลักด้านการขนส่งโลจิสติกส์
ประการสำคัญโครงการดังกล่าวที่ที่ปรึกษานำไปชี้แจงล้วนแล้วแต่มีมานานแล้วทั้งสิ้น จ้างศึกษามาแล้วหลายรุ่น แต่ไม่มีการขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมจริง ดังนั้น กรณีจะเข้ามาปรับเปลี่ยนภารกิจของกทท.จะต้องมีการเพิ่มวัตถุประสงค์เข้าไป เพื่อให้เป็นเมืองใหม่ตามที่ต้องการของบางคนบางกลุ่ม จึงขอวิงวอนให้พนักงาน กทท. ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันรักษาความเข้มแข็งการเป็นผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์นี้ไว้ให้ได้
กรณีพัฒนาให้เป็นเมืองใหม่ยังเห็นว่าผิดวัตถุประสงค์อย่างร้ายแรง เคยสอบถามความเห็นพนักงานบ้างหรือไม่ว่าต้องการเห็นเมืองใหม่ที่สวยหรู หรือต้องการทำบ้านหลังเก่าให้ดีขึ้น จากปัจจุบันที่ส่งรายได้ให้รัฐบาลปีละประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ให้ผลประกอบการเข้มแข็งและดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะส่งรายได้ให้กับรัฐ 75% จากรายได้รวมประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
ประการสำคัญเรื่องรายได้ยังไม่ชัดเจน ดังนั้นหากจะปรับเปลี่ยนไปเป็นเมืองใหม่ กทท. จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งการชี้แจงของกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาทั้ง 2 ครั้ง ยังตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้เลย
ด้าน เรือโทกมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า แนวคิดเห็นว่า จุดหลักที่เป็นจุดแข็งของ กทท. คือการพัฒนาให้เป็นพื้นที่ด้านโลจิสติกส์ ซึ่งปัจจุบันยังสามารถยกระดับการพัฒนาหรือขีดความสามารถของท่าเรือกรุงเทพได้อีก ประการสำคัญหากพิจารณาตามมุมมองของผู้ประกอบการแล้วต่างเห็นว่า ท่าเรือกรุงเทพจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งโดยไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงท่าเรือแหลมฉบัง
“ดังนั้น การยกระดับขีดความสามารถของพื้นที่ท่าเรือคลองเตยให้สอดคล้องกับภารกิจหลักจึงควรต้องนำมาปรับแผนการพิจารณาให้เป็นปัจจุบัน หากพื้นที่ใดสมควรนำไปพัฒนาด้านอื่นก็ควรเร่งอนุมัติให้ดำเนินการโดยเร็วต่อไป ซึ่งปัจจุบันกทท.อยู่ระหว่างการเร่งขับเคลื่อนโครงการที่อยู่อาศัยโดยอยู่ระหว่างการสำรวจข้อมูลประชากรทั้ง 26 ชุมชน เพื่อเสนอรัฐบาลเร่งอนุมัติให้ดำเนินการตามแผนต่อไป”
โดยสรุปงานนี้..ใครอยากเห็นการลดขนาดท่าเรือคลองเตย (จากที่เคยมีนโยบายจำกัดตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าเรือคลองเตยไว้ที่ 1 ล้านทีบียู) เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัดแสนสาหัสหรือใครที่ต้องการลุ้นนำพื้นที่ทำเลทองของท่าเรือฯ ไปต่อยอดพัฒนาที่ดินในรูปแบบเชิงพาณิชย์ หรือใช้พื้นที่ทำเป็นสวนสาธารณะฟอกมลพิษให้คนเมืองกรุง ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไป!