กรมธนารักษ์ วางแผนผุด “ตลาดรอง-ราคาอ้างอิง : ค้าเหรียญกษาปณ์” มูลค่าตลาดกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี พร้อมสร้าง “กูรูเหรียญกษาปณ์” ประกาศอัดเงินปีละกว่า 20 ล้านบาท ทั้งขายและรับซื้อ “กลุ่มเหรียญเก่า – ผลิตน้อย – หายาก – ผลิตผิดพลาด - มีสตอรี่ “พิศดาร” ที่มีราคาพุ่งสูง มั่นใจ หากมีการนำเหรียญเก่า-สภาพดีออกมาใช้ ช่วยลดงบฯผลิตเหรียญใหม่ปีละ 2,000 ล้านบาท
ไอเดียสุดบรรเจิด! กับแนวคิดในการสร้างตลาดรองซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญกษาปณ์ของอธิบดีกรมธนารักษ์ ”ยุทธนา หยิมการุณ” ที่หวังจะนำรูปแบบการซื้อขายหุ้น, ทองคำ และพระเครื่อง มาใช้เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้ครอบครองเหรียญกษาปณ์
ว่ากันว่า…หากมีตลาดรองซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญกษาปณ์กันจริงๆ แล้ว แต่ละปีน่าจะมีเม็ดเงินสะพัดอยู่ในระบบไม่ต่ำกว่า 1 แสนบ้านบาทเลยทีเดียว
“ยุทธนา” ระบุว่า นโยบายใหม่นี้ จะเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการเหรียญกษาปณ์ไทย โดยกรมฯจะทำหน้าที่เป็น “ผู้ควบคุมและกำหนดราคากลางรับซื้อ-ขาย” (Regurator) พร้อมกับสร้างเครือข่าย “กูรูเหรียญกษาปณ์” ด้วยการจัดอบรมให้ความรู้ และออกใบรับรอง (Certificate) ให้กับกูรูฯและเหรียญกษาปณ์
“แนวคิดนี้เชื่อว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเหรียญกษาปณ์ของไทย เนื่องจากปัจจุบัน ไม่เพียงมีการสะสมเหรียญเก่า ทั้งเหรียญกษาปณ์ทั่วไปและเหรียญกษาปณ์ในวาระพิเศษ แต่ยังมีการรับซื้อและจำหน่ายเหรียญกษาปณ์ที่เรื่องราวน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น เหรียญกษาปณ์ “ปราบจีนฮ่อ” ในรัชกาลที่ 5 ที่มีการประกาศรับซื้อเหรียญจริงสูงถึงเหรียญละ 1 ล้านบาท หรือเหรียญกษาปณ์ ราคา 1 บาท “พญาครุฑ” ปี 2517 ในรัชกาลที่ 9 ที่มีการซื้อขายกันในตลาดไม่ต่ำกว่า 100-200 บาทต่อเหรียญ รวมถึงเหรียญกษาปณ์อื่นๆ ที่มีเรื่องราวเล่าขานเกินสิ่งปกติธรรมดา นอกจากนี้ ยังมีเหรียญกษาปณ์บางรุ่น ที่ผลิตออกมาจำนวนไม่มาก หรือผลิตออกมาแล้ว เกิดความผิดพลาด เช่น ด้านหน้าและหลังของเหรียญไม่กลับด้าน เหมือนเหรียญกษาปณ์ปกติทั่วไป จึงทำให้ความต้องการจะสะสมเหรียญกษาปณ์เหล่านี้มีสูงมาก ทำให้ราคาซื้อ-ขายในตลาดแพงตามไปด้วย” อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าว
และว่า..ทุกวันนี้ กรมฯ จะต้องใช้งบประมาณในการผลิตเหรียญกษาปณ์รุ่นใหม่ เพื่อทดแทนเหรียญกษาปณ์ที่หายไปจากระบบ สูงถึงปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท ดังนั้น หากมีการเปิดตลาดรอง ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญกษาปณ์ของไทย เชื่อว่าจะมีการนำเหรียญกษาปณ์รุ่นเก่าที่มีสภาพดีออกมาใช้กัน จนทำให้กรมฯสามารถลดปริมาณการผลิตเหรียญกษาปณ์ลงได้ปีละเป็นจำนวนมหาศาล และเงินที่ประหยัดได้นั้น จะถูกนำไปใช้เพื่อการสร้างราคากลางอ้างอิงในการรับซื้อและจำหน่าย ซึ่งขณะนี้ ตนได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำราคากลางอ้างอิงแล้ว
โดยในระยะแรก กรมฯจะเตรียมงบประมาณจำนวน 1-2 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อรับซื้อเหรียญกษาปณ์ ผ่านศูนย์บริหารจัดการเหรียญแบบครบวงจรประจำภูมิภาค จำนวน 6 แห่ง คือ ขอนแก่น อุบลราชธานี เชียงใหม่ นครสวรรค์ สุราษฎร์ธานี และสงขลา เป็นการนำร่องก่อน โดยเหรียญที่จะมีประกาศรับซื้อนั้น กรมฯจะประกาศถึงรุ่นและราคากลางที่จะรับซื้อโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกัน กรมฯก็จะทำการจำหน่ายเหรียญกษาปณ์ที่มี เพื่อให้ตลาดได้เก็บสะสมและเก็งกำไร เมื่อวันเวลาผ่านไปในอีกหลายปีข้างต้น
ทั้งนี้ กรมฯ จะเร่งประสานองค์กร หน่วยงาน และภาคเอกชน ที่ดำเนินการเก็บสะสม จัดประกวด และรับซื้อ-ขายเหรียญกษาปณ์ เพื่อสร้างเครือข่ายตลาดรองเหรียญกษาปณ์ที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับในระดับสากลเหมือนเช่นวงการจำหน่ายหลักทรัพย์ ทองคำ และของมีค่าอื่นๆ
“ผมได้สั่งเป็นนโยบายไปแล้ว ซึ่งหากโครงการนี้เกิดขึ้นได้จริง ไม่เพียงกรมธนารักษ์จะประหยัดงบประมาณในการผลิตเหรียญกษาปณ์รุ่นใหม่ แต่การคงจำนวนเหรียญกษาปณ์ให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสมกับปริมาณความต้องการใช้ในระบบนั้น ยังสอดรับกับนโยบาย “สังคมไร้เงินสด” (Cashless Society) ของรัฐบาลชุดนี้ ไม่เพียงแค่นั้น ประชาชนคนไทย โดยเฉพาะชาวบ้านทั่วไป หากไปค้นหาและพบว่าตัวเองมีเหรียญเก่าๆ ที่เก็บไว้จนหลงลืม และหากเหรียญนั้นๆ เป็นเหรียญหายาก หรือมีสตอรี่ที่ไม่ธรรมดา จนเป็นที่ต้องการของนักสะสมของเก่าและมีค่า เชื่อว่าเหรียญดังกล่าวอาจเปลี่ยนชีวิตของชาวบ้านธรรมดาเหล่านั้น แต่ทั้งนี้ กรมฯจะต้องบูรณาความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างตลาดรองขึ้นมา สำหรับทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญกษาปณ์ พร้อมกับเร่งสร้างราคากลางอ้างอิงของแต่ละเหรียญแต่ละรุ่น ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่ามูลค่าตลาดของการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญกษาปณ์ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบและในตลาดรองรวมกันในแต่ละปี ไม่น่าจะต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน” อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าว
สำหรับ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” แล้ว ข่าวนี้…ถือเป็นทั้ง “ข่าวใหม่” และ “ข่าวใหญ่” ของประเทศไทย หากอธิบดีกรมธนารักษ์ ทำให้มันเกิดขึ้นได้จริง ไม่เพียงสร้าง “โอกาสใหม่” ต่อวงการตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญกษาปณ์ และนักสะสมเหรียญกษาปณ์เท่านั้น
หากยังทำให้คนไทยอีกกว่า 70 ล้านคน ต้องกลับไปค้นหาเหรียญกษาปณ์ “เก่าเก็บ” ตามซอกหลืบต่างๆ ภายในบ้านตนเองว่ายังคงมีเหลือเก็บ และเป็นเหรียญที่ตลาดต้องการหรือไม่? หากเป็นเหรียญที่ใช่…อาจพลิกผันชะตาชีวิตจาก…ยาจกเป็นเศรษฐีกันได้เลย
อย่าลืมว่า…เหรียญกษาปณ์รัชกาลที่ 5 รุ่น “ปราบจีนฮ่อ” ที่มีสนนราคารับซื้อสูงถึงเหรียญละ 1 ล้านบาทนั้น ยังไม่ใช่ราคาเหรียญรับซื้อสูงที่สุด เพราะหากเป็นเหรียญ “พดด้วง” ที่ผลิตจากเงินแท้ ในยุคก่อนที่มีการนำเหรียญกษาปณ์ออกมาใช้นั้น ว่ากันว่า…ราคาพุ่งหลายล้านบาทเลยทีเดียว
ที่สำคัญ…วงการค้าเหรียญกษาปณ์ ไม่ว่าจะในกลุ่มใด? “ของเก่ามีคุณค่า - ผลิตน้อย - ผลิตผิดพลาด - มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์” ล้วนมีกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องไม่เฉพาะแต่ “คนพุทธ” หรือ “คนไทย”
หากยังมี…คนต่างชาติต่างศาสนา โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เก็บเหรียญกษาปณ์ของไทยติดมือกลับไปบ้านตัวเอง หรือไม่ก็อาจเป็นนักสะสมเหรียญกษาปณ์ คนพวกนี้…จะช่วยกับมาสร้างสีสันให้กับวงการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญกษาปณ์ของไทยให้ดูคึกคักมากยิ่งขึ้น
สิ่งนี้…ก่อเกิดคุณค่าและคุณประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของไทยอย่างมาก
“สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ขอเอาใจช่วยและเชียร์…อธิบดีกรมธนารักษ์ เพื่อให้ดำเนินการโปรเจ็คต์สร้างตลาดรองซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญกษาปณ์ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพราะเชื่อว่า…สิ่งนี้ ไม่เพียงจะช่วยกรมธนารักษ์ ประหยัดต้นทุนในการผลิตเหรียญกษาปณ์แต่ละปีราว 2,000 ล้านบาท
หากยังช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ ช่วยให้คนไทยระดับรากหญ้าได้มีโอกาส “พลิกฟื้นชีวิต” เพียงแค่กลับไปค้นและพบว่าตัวเองมีเหรียญที่อยู่ในความต้องการของตลาด!