ดีเดย์ 1 พ.ย.นี้ ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะนำรถไฟฟ้าสายสีแดง 2 ขบวนที่ผลิตและนำเข้ามาจากญี่ปุ่นมาเก็บไว้ที่ศูนย์ซ่อมบำรุงภายในสถานีกลางบางซื่อ เพื่อเตรียมทดสอบให้บริการในปี 2563 คาดว่าต้นปี 2564 จะสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการต่อไป
แน่นอนว่า เมื่อเปิดให้บริการจะส่งผลให้การเติบโตของเมืองในพื้นที่รอบสถานีเติบโตตามไปด้วย ดังนั้น คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้จัดงาน “ผ่าแผนการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีศาลายา และสถานี ม.ธรรมศาสตร์ รองรับรถไฟฟ้าสายสีแดง” ขึ้น
โดยนายจักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงรายละเอียดในครั้งนี้ว่า ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดงานขึ้นเพื่อเจาะลึกเปิดแผนการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสถานีขนส่งมวลชน(TOD) การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ในเส้นทางโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (ส่วนต่อขยาย) ตลิ่งชัน-ศาลายา และ รังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มูลค่า 16,772 ล้านบาท
พร้อมศึกษาแนวทางการพัฒนาพื้นที่และการเชื่อมต่อระบบคมนาคม พัฒนาเมืองเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและรองรับการขยายตัวของชุมชนเมืองเพื่อรองรับรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างกลางปี 2563 ใช้เวลา 36 เดือน กำหนดแล้วเสร็จกลางปี 2566
ศักยภาพของพื้นที่ศาลายา
การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีศาลายา นับเป็นพื้นที่ซึ่งมีความโดดเด่น ทั้งทางประวัติศาสตร์ วิถีวัฒนธรรม ทรัพยากร การศึกษาวิจัยและมีศักยภาพสูงรองรับอนาคต นอกจากจะมีโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีแดงอ่อน ตลิ่งชัน - ศาลายาแล้ว
ในอนาคตยังมีอีก 6 โครงการคมนาคมขนส่งสำคัญอีกด้วย ได้แก่ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ถนนวงแหวนรอบที่ 3 , โครงการรถไฟความเร็วสูง ลงสู่ภาคใต้ , โครงการถนนนครอินทร์ – ศาลายา, โครงการสนามบินนครปฐม, โครงการนำร่อง คลองมหาสวัสดิ์ เชื่อมล้อ-ราง-เรือ ,โครงการต่อขยายถนนยกระดับบรมราชชนนี เป็นต้น
เร่ง พ.ร.บ.TOD นำพื้นที่สร้างรายได้
นับจากนี้ไป รถไฟฟ้าที่รัฐบาลอนุมัติแล้ว 464 กิโลเมตร โดยทำเสร็จแล้ว 25 % และจะทยอยเปิดไปจนครบเป็นโครงข่ายสมบูรณ์นั้นนายชยธรรม์ พรหมศร รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในอนาคตจะเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางเข้าสู่ระบบรางมากขึ้น ปัจจุบันมีคนใช้ระบบราง 6 แสนคนต่อวัน ต่อไปน่าจะทะลุหลักล้านคน โดยสายสีเขียวจะเป็นกระดูกสันหลังหลัก (Backbone) หลายคนตั้งคำถามเหตุใดการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้าของไทยจึงไม่เหมือนอย่างในญี่ปุ่น เหตุเพราะเราต่างคนต่างคิด ต่างสร้าง กฎหมายเป็นอุปสรรค และขาดการวางแผนที่รอบด้าน
ผอ.สนข. ชี้ชัดว่า จะต้องมี Master Plan ในการพัฒนาพื้นที่รอบสถานี Transit Oriented Development (TOD) อย่างที่ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทำโดยลงพื้นที่สำรวจ ศึกษาวิเคราะห์วิจัย ออกแบบ เปิดการมีส่วนร่วมของชุมชน และทำแผนศึกษาวิจัยออกมา ก่อนหน้านี้พื้นที่เวนคืน หรือก่อสร้างรถไฟฟ้าจะใช้เฉพาะสาธารณประโยชน์เท่านั้น ไม่สามารถนำมาสร้างรายได้ กลายเป็นเอกชนเข้ามากว้านซื้อล่วงหน้าและทำกำไร
กระทรวงคมนาคม จึงได้เร่งผลักดัน พ.ร.บ.การพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งมวลชน (TOD) ให้สามารถออกเป็นกฎหมายได้ใน 1-2 ปีข้างหน้า เพื่อส่งเสริมให้องค์กรท้องถิ่นสามารถนำพื้นที่ไปสร้างมูลค่าเพิ่มทางรายได้ดังเช่นในนานาประเทศ และเสริมศักยภาพการพัฒนาเมืองในประเทศไทยให้ยั่งยืนอีกด้วย
TOD ต้องครบ Work –Live – Play!
สอดรับกับแนวคิดของนายนคร จันทศร ที่ปรึกษาผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ว่าช่วงที่ผ่านมามักจะเห็นการพัฒนาเมืองตามยถากรรมเป็นสายริบบิ้น (Ribbon Development) บ้านอาคารสร้างขึ้นตามแนวถนน หรือแนวรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้น แนวคิดการพัฒนา TOD ต้องเป็น Work –Live – Play เป็นแหล่งงาน สามารถใช้ชีวิตและพักผ่อนหย่อนใจได้ ไม่ใช่มาซื้อคอนโดเมืองอยู่เพราะหนีรถติด เสาร์อาทิตย์กลับไปนอนบ้านนอกเมือง
แต่แนวคิด TOD นั้น จะต้องมีพื้นที่สร้างสรรค์และนิเวศทางธรรมชาติ มีระบบ Feeder ขนคนมาป้อนสถานีรถไฟฟ้า ออกแบบให้เดินเท้า 5 - 10 นาที จากฟีดเดอร์หรือที่พักอาศัย รวมเวลาเดินทางจากบ้านไปทำงานและรอฟีดเดอร์ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมงครึ่ง
สำหรับข้อคิดการพัฒนา TOD แต่ละพื้นที่มีปัจจัยและบริบทต่างกัน ความร่วมมือและการเชื่อมต่อกับโครงข่ายเดินทางทั้งระบบเป็นหัวใจสำคัญ ทั้งควรเปลี่ยนแนวคิดการสร้างลานที่จอดรถยนต์ส่วนตัวในสถานีรถไฟฟ้ายกเว้นรถสาธารณะ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ดำเนินการวิจัยศึกษาการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีศาลายาและสถานีธรรมศาสตร์ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของ Transit Oriented Development (TOD) จากความร่วมมือหลายภาคส่วนมาสร้างสรรค์แนวทางการพัฒนาพื้นที่เมืองหรือชุมชนแบบผสมผสาน โดยศึกษาถึงรูปแบบการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เส้นทางการสัญจร ทั้งการเดินเท้า การเดินทางโดยใช้เครื่องยนต์และไม่ใช้เครื่องยนต์ มุ่งให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน ในการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยั่งยืน สอดคล้องกับวิถีชีวิตวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ ตลอดจนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในบริบทโลก
เปิดแผนพัฒนารอบสถานีศาลายา
เปรียบเทียบ 2 พื้นที่ ขณะที่พื้นที่รอบสถานีธรรมศาสตร์มีภาระหนักจากด้านการจราจรและการจัดการที่ดินที่ซับซ้อนกว่า ดังนั้นศาลายาน่าจะเริ่มพัฒนาได้เร็วกว่า เนื่องจากเจ้าของที่ดินหลักมีจำนวนน้อยราย กล่าวคือ สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ การรถไฟแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายาจะเป็นต้นแบบของการพัฒนา TOD ที่มีการศึกษาวิจัยวางแผนพัฒนาก่อนโดยยึดประโยชน์ส่วนรวม ทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
จุดเชื่อมโยงรถไฟสายสีแดง
จากมติ ครม.เมือต้นปี 2562 เห็นชอบโครงการก่อสร้างรถไฟชานเมืองส่วนต่อขยายสายสีแดง 2 โครงการ วงเงินลงทุนส่วนต่อขยายรวม 16,772 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นรถไฟฟ้าวิ่งบนรางขนาด 1 เมตร เดินรถด้วยระบบไฟฟ้าที่จ่ายไฟเหนือหัว (Overhead feeding system) วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. เมื่อแล้วเสร็จจะเติมเต็มโครงข่ายของสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน จะเปิดให้บริการภายในเดือน ม.ค. 2564 ทำให้การเดินทางเชื่อมต่อในกลางกรุงเทพฯกับชานเมืองด้านทิศเหนือ ไปยังพื้นที่ จ.ปทุมธานี และตะวันตกไปยัง จ.นครปฐม สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีสถานีกลางบางซื่อเป็นจุดเชื่อมต่อ
สำหรับรถไฟสายสีแดงส่วนต่อขยาย แยกเป็น สายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 14.8 กม. วงเงิน 10,202 ล้านบาท ประกอบด้วยการสร้างสถานีเพิ่ม 4 สถานี ได้แก่ สถานีฉิมพลี สถานีกาญจนาภิเษก สถานีศาลาธรรมสพน์ และสถานีศาลายา ส่วนสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระยะทาง 8.84 กม. วงเงิน 6,570 ล้านบาท มีการก่อสร้างสถานีเพิ่ม 4 สถานี ได้แก่สถานีคลองหนึ่ง สถานีเชียงรากน้อย สถานีมหาวิทยาลัยกรุงเทพที่สร้างเพิ่มใหม่ และสถานีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใช้เวลาก่อสร้าง 36 เดือน กำหนดแล้วเสร็จราวกลางปี 2566
ท้ายที่สุดแล้ว คงต้องมีลุ้นกันต่อไปว่าการพัฒนา TOD รอบสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดงจะทำได้สำเร็จหรือไม่ ผลการศึกษาดังกล่าวจะสามารถนำไปขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้จริงหรือไม่ เร็วๆ นี้ คงมีคำตอบจากรัฐบาล