วงการโทรคมนาคม ยังคงตั้งข้อกังขาแผนปรับโครงสร้างอัตราค่าธรรมเนียมเลขหมายโทรศัพท์ใหม่ของ กสทช.เหตุฝนตกไม่ทั่วฟ้า หวั่นเอื้อกลุ่มทุนเอกชนเพียงรายเดียว แถม 2 บริษัทสื่อสารของรัฐ ทั้ง ”ทีโอที-แคท” กลับต้องแบกภาระค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น จากปกติก็หืดจับจากภาวการณ์แข่งขันอยู่แล้ว
โดยแหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคมที่เข้าร่วมเวทีประชาพิจารณ์ร่างหลักเกณฑ์การจัดสรรเลขหมายใหม่ และร่างหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเลขหมายใหม่ ที่คณะทำงาน กสทช.เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะไปเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และเตรียมสรุปผลเพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ภายในเดือนพฤษภาคมนี้
กรุยทางสู่ Single Rate
แหล่งข่าวกล่าวว่า ข้อเสนอของผู้ประกอบการสื่อสารทุกค่าย แม้จะเห็นด้วยต่อการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าธรรมเนียมเลขหมายโทรศัพท์ที่จะนำไปสู่ระบบ Single Rate เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการในอนาคต แต่ในส่วนของการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเลขหมายใหม่ ที่ กสทช.ได้มอบหมายให้คณะทำงานศึกษา และนำเสนอต่อที่เวทีประชาพิจารณ์นั้น ”ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ยังคงไม่เห็นด้วย และต้องการให้ กสทช.พิจารณาทบทวน”
แม้ กสทช. จะอ้างว่า การปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าธรรมเนียมใหม่ดังกล่าวไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อค่ายสื่อสารใด แต่เป็นไปเพื่อสร้างความเป็นธรรมและรองรับการเปิดเสรีในอนาคต (เนตรทิพย์:Hot News กสทช. ยัน Single Rate ไม่เอื้อเอกชน http://www.natethip.com/news.php?id=1336)
บริษัทสื่อสารเจ้าสัว..รับส้มหล่น!
แต่ข้ออ้างการสร้างความเป็นธรรมที่ว่านั้น ก็ไม่รู้ว่าเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้กับใคร หรือเพื่อใครกันแน่
“เอาแค่หนังตัวอย่างอัตราค่าธรรมเนียมที่ กสทช. หยิบยกขึ้นฉายบนเวทีประชาพิจารณ์ล่าสุดที่คาดจะนำมาใช้ชั่วคราวในระยะ 2 ปีนี้ ก็ทำเอาผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ ถึงกับ”งงเป็นไก่ตาแตก” เพราะตามโมเดลที่ กสทช.อ้างอิงโดยนำเอาค่าเฉลี่ยอัตราค่าธรรมเนียมที่ผู้ประกอบการโทรคมนาคมแต่ละรายจ่ายอยู่ในปัจจุบันมาหาค่าเฉลี่ยที่เหมาะสม ก่อนกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเฉลี่ยที่ 1.62 บาท/นาที/เดือนนั้น กลับพบว่า มีบริษัทสื่อสารที่ได้รับประโยชน์จากอัตราค่าธรรมเนียมเลขหมายใหม่เพียงรายเดียวเท่านั้น”
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเอกสารที่ กสทช. นำเสนอต่อเวทีประชาพิจารณ์พบว่า แต่เดิมที่บริษัทต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเลขหมายเฉลี่ย 1.93 บาท/เลขหมาย/เดือน เนื่องจากมีเลขหมายโทรศัพท์ใหม่ที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 2 บาท/เลขหมาย/เดือนอยู่เต็มมือร่วม 50 ล้านเลขหมาย เมื่อต้องมาจ่ายค่าธรรมเนียมใหม่ที่ 1.62 บาท บริษัทสื่อสารรายนี้จึงได้รับ “ส้มหล่นตีนบวม” ไปเต็มๆ ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่มีฐานลูกค้าผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ค่อนประเทศนั้นแทบไม่ได้อานิสงใดๆ จากโครงสร้างอัตราค่าธรรมเนียมใหม่ที่ว่านี้
แคท-ทีโอที..ควักจ่ายเพิ่ม!
มิหนำซ้ำบริษัทสื่อสารของรัฐ ทั้งบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ แคท และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ที่แม้ กสทช.จะกระมิดกระเมี้ยนไม่เปิดเผยชื่อในช่วงที่นำเสนอต่อเวทีประชาพิจารณ์นั้น แต่วงในโทรคมนาคมเขารู้กันหมดว่าเป็นใครนั้น กลับต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเลขหมายเพิ่มขึ้น จากเดิมที่จ่ายค่าธรรมเนียมเฉลี่ยอยู่ที่ 1.35 และ 1.47 บาท/เลขหมาย เพราะมีเลขหมายจากสัมปทานเดิมเป็นจำนวนมาก แต่ตามหลักเกณฑ์ใหม่จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นไปเป็น 1.62 บาท/เลขหมาย/เดือน ทำเอาสองบริษัทสื่อสารของรัฐได้แต่ “ช็อคตาค้าง” ปกติก็หายใจไม่ทั่วท้องจากสภาวะการแข่งขันในตลาดอยู่แล้ว นี่ยังต้องมาแบกภาระค่าธรรมเนียมเลขหมายเพิ่มขึ้นไปอีก
จึงก่อให้เกิดคำถามว่าที่ว่า การทบทวนปรับโครงสร้างอัตราค่าธรรมเนียมใหม่เป็นธรรมนั้น เป็นธรรมสำหรับใครหรือเพื่อใครกันแน่!
นักวิชาการติง..ไม่สะท้อนการแข่งขันที่แท้จริง
จึงไม่แปลกใจที่วันวาน รองศาสตราจารย์ ดร. ภูมินทร์ บุตรอินทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา และกรรมการศูนย์ศึกษากฎหมายฝรั่งเศส คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงได้ออกมาแสดงความเห็นต่อกรณีการปรับโครงสร้างอัตราค่าธรรมเนียมเลขหมายดังกล่าว ว่า สะท้อนให้เห็นถึงการกำกับดูแลที่ไม่สะท้อนการแข่งขันที่แท้จริง โดยเฉพาะในตลาดการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
"การกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ให้ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในอัตราเดียวคือ 1.62 บาท/เลขหมาย/เดือน ซึ่งยังผลให้ผู้ประกอบการที่จ่าย 1 บาท/เลขหมาย/เดือน จะจ่ายเพิ่มขึ้น ขณะผู้ประกอบการที่มีเลขหมายใหม่ที่ต้องจ่าย 2 บาท/เลขหมาย/เดือนจ่ายลดลงนั้น ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือผู้ให้บริการที่มีเลขหมายใหม่ (ค่าธรรมเนียม 2 บาท) จำนวนมาก ขณะที่ผู้ให้บริการที่มีเลขหมายที่จ่ายค่าธรรมเนียม 1 บาทจำนวนมากเสียประโยชน์อย่างชัดเจน เนื่องจากต้องจ่ายเงินเพิ่มถึงเลขหมายละ 62 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละห้าสิบเลยทีเดียว"
ทุนสื่อสารยักษ์..รับเต็มๆ
เมื่อแกะรอยตามไปดูไส้ในบริษัทสื่อสารที่ว่า ก็พบว่า เป็นบริษัทสื่อสารยักษ์ในกลุ่มทุนยักษ์ที่สังคมกำลังตั้งข้อกังขาว่า “กินรวบ” ผูกขาดประเทศไทยอยู่นั่นแหล่ะ เพราะล่าสุดนั้นรัฐบาลเพิ่งเปิดทำเนียบประเคนโครงการสัมปทานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐมูลค่าหลานแสนล้านบาท
อีกทั้งก่อนหน้า บริษัทสื่อสารรายนี้ ยังได้รับการ “เอื้ออาทร” จากหน่วยงานรัฐ จนแทบจะสำลักมาโดยตลอด ทั้งจากกรณีที่เปิดช่องให้บริษัทปาดหน้าเปิดให้บริการมือถือระบบ 3 จี ด้วยเทคโนโลยีบีบอัดสัญญาณ HSPA ไปก่อนใครอื่นไปร่วมปี ซึ่งเป็นการแหกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่ทำเอาองค์กรรัฐแห่งนั้นแทบจะเสียศูนย์เลยทีเดียว
ยังไม่รวมกรณีการเอื้ออาทรปรับลดเงินรายได้จากการใช้งานคลื่น 1800 MHz ในช่วงมาตรการเยียวยาหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน ตามประกาศ กสทช.ปี 2556 ที่แต่เดิมมีการคำนวณเม็ดเงินรายได้ที่บริษัทจะต้องนำส่งรัฐไว้กว่า 13,900 ล้านบาท แต่มีการสรุปเม็ดเงินที่บริษัทต้องจ่ายเข้ารัฐจริงๆ เอาไว้เพียงแค่ 1,500 ล้านบาท แต่ถึงวันนี้ก็ยังปิดบัญชีไม่ลง!
ไหนจะเรื่องของ “ซิมอัตลักษณ์” ที่ทุกค่ายมือถือจะต้องดำเนินการลงทะเบียนซิมการ์ดใหม่ ตามประกาศ กสทช.ว่าด้วยซิมอัตลักษณ์ที่ต้องแสดงตน แต่ผ่านมาขวบปีกลับพบว่า บริษัทสื่อสารรายนี้กลับได้รับการเลือกปฏิบัติหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา ได้เกิดกรณีฉาวโฉ่มิจฉาชีพฉวยโอกาสหลอกเอาบัตรประชาชนผู้คนไปหลอกเปิดเครื่องเปิดเบอร์ใหม่ไปก่ออาชญากรรมกันจนดังสนั่นเมือง จนประชาชนเดือดร้อนกันไปทั่ว
ก็ในเมื่อจะมีการ ”ล้างไพ่” รื้อโครงสร้างอัตราค่าธรรมเนียมเลขหมายใหม่ ก็สมควรจะดำเนินการให้สะเด็ดน้ำปราศจากข้ออังขา โดยเฉพาะควรที่จะให้อานิสงของการปรับปรุงค่าธรรมเนียมที่ว่านั้น จะต้องดำเนินการให้ชนิด “ฝนตกทั่วฟ้า” ผู้ประกอบการทุกรายได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม โดยที่ประชาชนผู้รับบริการในชั้นสุดท้ายควรได้รับการประโยชน์สูงสุด
หาไม่แล้ว เรื่องที่ว่านี้ จะกลายเป็นเผือกร้อนทันที!