จัดเป็นอีกหนึ่งโครงการเมกะโปรเจ็กต์ของรัฐบาล คสช. ที่เข้ามาบริหารประเทศที่ล่าช้าไม่เป็นไปตามแผน ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์) สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง (ทล.) เป็น 12,032 ล้านบาทจากวงเงินที่จะใช้ในการเวนคืนทั้งสิ้นจำนวน 17,452 ล้านบาท (จ่ายไปแล้ว 5,420 ล้านบาท)
โดยวงเงิน 12,032 ล้านบาท ที่เพิ่มมานั้น แบ่งเป็นค่าเวนคืนที่ดินที่เหลืออีก 2,500 ราย (รวม 4,000 รายการ) แบ่งเป็นบ้านที่อยู่อาศัย 2,577 รายการ ต้นไม้ 500 รายการ สิ่งปลูกสร้าง 900 รายการ จากเดิมที่จ่ายเวนคืนไปแล้ว 1,000 ราย
ผลของการขออนุมัติกรอบวงเงินในครั้งนี้หากย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นโครงการจะพบว่า มีการต่อต้านจากประชาชนหลายพื้นที่ แต่ภาครัฐก็เร่งรีบดำเนินการเปิดประมูลจนสำเร็จ พร้อมเร่งลงนามสัญญาและจ่ายเงินล่วงหน้า 15% ให้กับผู้รับเหมา
ผลสุดท้าย พบว่า หลายพื้นที่ผู้รับเหมาเข้าพื้นที่ไม่ได้ เพราะกรมทางหลวงเจ้าของโครงการไม่ได้จ่ายค่าเวนคืน จึงส่งมอบพื้นที่ให้ไม่ได้ บางสัญญาแม้จะก่อสร้างตามที่ได้รับมอบพื้นที่บางส่วนแต่อีกหลายพื้นที่กลับยังค้างเติ่งมาจนวันนี้!
จุดต้นตอปัญหา..
เบื้องต้นนั้น พบว่า การทำความเข้าใจกับชาวบ้านตลอดแนวเส้นทางของบริษัทที่ปรึกษา ไม่สามารถหยุดการต่อต้านได้เด็ดขาด จนเกิดความล่าช้าตามมา อีกทั้งการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้าสายสีม่วง ยังส่งผลให้ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ ”มอเตอร์เวย์ซึ่งกรมทางหลวงเร่งผลักดันมาก่อน แต่กลับได้รับอนุมัติให้ก่อสร้างช้ากว่ารถไฟฟ้า”
ผลกระทบตามมาจึงเป็นไปอย่างที่เห็น ทั้งการเพิ่มกรอบวงเงินที่ผ่านมา 2-3 ปีกว่า จะได้รับอนุมัติ ต้นไม้ สิ่งปลูกสร้าง ที่อยู่อาศัย เพิ่มขึ้นราวดอกเห็ด แตกต่างจากช่วงเริ่มต้นศึกษาการเวนคืน ท้ายที่สุดกระบวนการบีบให้กรมทางหลวงต้องนำข้อมูลเก่าไม่อัพเดทสอดไส้นำเสนอ ครม.อนุมัติงบเวนคืนที่ไม่สอดคล้องกับปัจจุบัน จนนำไปสู่กรณีที่ต้องข้อปรับกรอบวงเงินเพิ่มให้ล่าช้าตามมาในที่สุด
โดยความชัดเจนในเรื่องนี้ นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง ได้ให้ข้อเท็จจริงกับ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ว่า ในปี 2559 ได้มีการเข้าสำรวจพื้นที่จริง ทั้งที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และต้นไม้อย่างละเอียด พบว่า มีจำนวนมากกว่าที่ได้ประมาณการเบื้องต้น ประกอบกับมีการพัฒนาพื้นที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดโครงการสำคัญตามแนวเส้นทางมอเตอร์เวย์ และบริเวณใกล้เคียง ส่งผลทำให้สภาพการใช้พื้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้น จึงได้กำหนดราคาค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสภาพความเป็นจริง โดยได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 จึงส่งผลให้วงเงินสูงเพิ่มมากขึ้น เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติม กรมทางหลวงจะเร่งจ่ายเงินให้ประชาชนที่ถูกเวนคืนภายในเดือนมีนาคม 2563 ครบทุกราย
ประการสำคัญนอกจากงานโยธาและงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว หลังจากนี้ยังมีการลงทุนงานระบบต่างๆ ซึ่งจะรวมอยู่ในขอบเขตของสัญญาการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ในส่วนของการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) เช่นเดียวกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา ประกอบด้วย ด่านเก็บค่าผ่านทาง ระบบควบคุมและบริหารการจราจร และด่านชั่งน้ำหนัก โดยคาดว่าจะเซ็นสัญญาโอแอนด์เอ็มได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563
ทั้งนี้ ลักษณะโครงการมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี รูปแบบทางหลวงพิเศษขนาด 4 - 6 ช่องจราจร มูลค่าโครงการรวม 49,120 ล้านบาท การก่อสร้างงานโยธา มีจำนวนทั้งหมด 25 สัญญา ขณะนี้บางส่วนอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง มีความคืบหน้างานก่อสร้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 ร้อยละ 25.08 (ช้ากว่าแผน 56.00%)
โดยความล่าช้าที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผู้รับจ้างเข้าพื้นที่ทำงานได้เพียง 31% จากพื้นที่ก่อสร้างทั้งหมด เนื่องจากกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้รับไม่เพียงพอ ดังนั้นเมื่อได้รับอนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมกรมทางหลวงจะได้ส่งมอบพื้นที่พร้อมเร่งรัดให้ผู้รับจ้างเข้าทำงานต่อตามแผนงาน และคาดว่าจะแล้วเสร็จทุกสัญญาและเร่งเปิดให้บริการในปี 2566 ตามแผนต่อไป
วินาทีนี้ต้องจับตาโซนภาคตะวันตกคึกคักตามมาแน่ ทั้งนครปฐม ราชบุรี และกาญจนบุรี อีกทั้งบิ๊กรับเหมายังมีเงินหมุนเวียนอีกหลายราย
แถมในเร็วๆ นี้ ”มอเตอร์เวย์สายนครปฐม-ชะอำ” ยังจ่อคิวประมูลตามมาอีก ส่วนคิวต่อไปเมกะโปรเจ็กต์โครงการไหนจะล่าช้า งบก่อสร้างหรืองบเวนคืนจะบานอีกเช่นมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี หรือยังมีให้ลุ้นติดตามกันต่อไป