ฉงน! ใช้สื่อเป็น “เหยื่อ” ส่งต่อภาพเหมือนความสำเร็จของรัฐบาล? หลังประโคมข่าวทุนข้ามชาติจากทั่วโลก จ่อคิวลงทุนในไทย ที่สุด! คนไทยควรเชื่อใครกันแน่? ระหว่าง...คำพูดรัฐบาล กับภาพจริงที่ปรากฏ “โรงงานเจ๊ง-ปิดกิจการ-เลิกจ้าง”
เป็นอีกวาทกรรมการเมือง ที่ผู้ถืออำนาจรัฐพาดพิง “สื่อ”..
หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และนายสันติ พร้อมพัฒนา รมช.คลัง รวมถึงคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลัง นำโดย นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมประชุมเพื่อประเมินสถานภาพเศรษฐกิจของโลก ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในมิติต่างๆ
เป้าหมาย...เพื่อเตรียมมาตรการออกมารองรับในช่วงเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว
ทว่าประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการประชุมครั้งนั้น มีเรื่อง “สื่อ” เข้ามาเกี่ยวข้อง และเป็นนายสมคิดที่พูดกลางวงประชุมทำนอง...
มีเว็บไซต์ข่าวบางสำนัก ที่นำเสนอข่าวที่ผิดพลาดไปจากข้อเท็จจริง อ้างอิงข้อมูลจากสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum หรือ WEF) ที่ได้ทำการจัดอันดับความเสี่ยงในการทำธุรกิจทั่วโลกปี 62 แล้วไปพาดหัวข่าวทำนองว่า...“ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่” ตามด้วย...“สภาธุรกิจไทยระบุว่าไทยมีความเสี่ยงที่สุด”
รองนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า มันเป็นความผิดพลาดที่ทุกคนต้องช่วยกันระมัดระวัง อย่าให้มันเกิดขึ้นมาอีก เพราะมันได้สร้างความเสื่อมเสียต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย และภาพลักษณ์ของประเทศ พร้อมกับยกข้อเท็จจริงมาพูดบนเวทีประชุมวันนั้น ประมาณว่า...
“ข้อมูลดังกล่าวเป็นการสอบถามความคิดเห็นต่อการเข้ามาลงทุนในช่วง 10 ปีนับจากนี้ จากภาคเอกชน เพื่อประเมินว่าทั้งโลกมีความเสี่ยงจาก 30 ปัจจัยอย่างไรบ้าง โดยในส่วนของไทยเอกชนให้ความเห็น 5 ด้านที่ต้องระวัง หนึ่งในนั้น คือ ปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าไทยมีความเสี่ยงสูงสุด เพราะคำถามคือ ในช่วง 10 ปีข้างหน้าควรระมัดระวังปัจจัยอะไร ไม่ใช่ว่าปัจจุบันเศรษฐกิจมีสภาพอย่างไร ดังนั้น ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย การนำเสนอข้อมูลต้องกระทำอย่างไม่ควรแปลผิดแปลถูก จึงขอให้ทุกฝ่ายให้ความระมัดระวัง”
สื่อไหน? ค่ายใด? รองนายกฯ สมคิด ไม่ได้ระบุ แต่ที่หยิบยกขึ้นมา เพียงเพื่อจะตอกย้ำในประเด็นที่ตัวเขาต้องการจะสื่อสาร นั่นคือ...
“ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความผันผวน แต่ปรากฏกว่า มีกลุ่มทุนขนาดใหญ่จากต่างประเทศ ทยอยติดต่อเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมณฑลกวางตุ้ง (CCPIT) ที่นำกลุ่มนักลงทุนจากมณฑลกวางตุ้งของจีน เข้ามาขยายการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้บริหารไมโครซอร์ฟและอเมซอนจากสหรัฐฯ และสภาธุรกิจอังกฤษ-อาเซียน รวมถึงธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) สิ่งนี่ สะท้อนภาพที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทยสูงมาก”
และนั่นเป็นเหตุที่ว่า เหตุใด? รองนายกฯ สมคิด จึงได้ขอให้กระทรวงเศรษฐกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันอำนวยความสะดวกต่อการเข้ามาขยายการลงทุนในไทยมากขึ้น เนื่องจากนักลุงทุนต่างชาติมองเห็นโอกาสการลงทุนในไทยยังมีสูง เพราะเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย มองเห็นแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจไม่ได้กังวลเรื่องปัจจัยเสี่ยง แม้ว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลปัจจัยเสี่ยงเตือนระวังการลงทุนในภูมิภาคต่างๆ จากสภาเศรษฐกิจโลก
“ยอมรับว่าที่ผ่านมาแรงซื้อสินค้าและการบริโภคภายด้านต่างๆ มีปัญหาอยู่บ้าง แต่หลังจากที่กระทรวงการคลังได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ที่เริ่มเปิดตัวเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 3 เริ่มมีสัญญาณที่ดีและน่าพอใจ แม้ว่าการส่งออกยังน่าเป็นห่วง เพราะกำลังซื้อจากประเทศคู่ค้าลดลง จึงหวังรายได้จากการส่งออกยากขึ้น จึงสั่งกรมภาษีให้เข้มงวดการจัดเก็บรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ต้องไม่บั่นทอนการบริโภคของประชาชน” นายสมคิด ย้ำ
ขณะที่นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวเสริมว่า กระทรวงการคลังจะเป็นต้องดูแลภาพรวมเศรษฐกิจ รวมถึงเตรียมความพร้อมเพื่อพิจารณาออกมาตรการในช่วงเวลาที่เหมาะสมรองรับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ แม้การจัดสรรงบประมาณปี 63 จะเกิดความล่าช้าและจะเริ่มใช้จ่ายได้จริงในช่วงเดือน ก.พ.63 แต่เมื่อเข้าสู่สถานการณ์ที่จำเป็น รัฐบาลสามารถจะออกมาตรการโดยไม่จำเป็นต้องรอเงินจากงบประมาณปี 62
กระนั้น มาตรการต่างๆ ที่ทยอยออกมานั้น รัฐบาลได้คำนึงถึงความคุ้มค่าของการใช้จ่ายเงินงบประมาณ และต้องติดตามอย่างใกล้ชิดแล้ว
ทั้งหมดที่พาดพิงถึงสื่อ โดยเฉพาะ “สื่อออนไลน์” ว่า...พาดหัวข่าวผิดพลาด สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ประเทศไทยนั้น เพียงแค่ต้องการจะบอกกับข้าราชการ และสังคมไทย (ผ่านสื่อ) ว่า...หาได้เป็นเช่นนั้น เพราะข้อเท็จจริง กับสถานการณ์นับจากนี้ คนไทยและสังคมโลก จะได้เห็นการเข้ามาลงทุนของยักษ์ใหญ่จากตัวแทนชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
ไล่กันมาตั้งแต่...จีน สหรัฐฯ อังกฤษ ญี่ปุ่น
แต่ที่สังคมไทยตั้งคำถาม...หากมันดีขนาดนี้ เหตุใด? ธุรกิจค่ายใหญ่อย่าง...เครือเซ็นทรัลฯ จึงประกาศลดวงเงินการลงทุนในประเทศช่วง 3 ปี มากถึงกว่า 6,000 ล้านบาท เหลือเม็ดเงินลงแค่ 2 หมื่นล้านบาทเศษเท่านั้น แถมยังมีข่าวการลดขนาดธุรกิจ จนถึงการปิดกิจการ และการเลิกจ้างพนักงานอีกนับพันนับหมื่นคนตามมา
และที่น่าสงสัยมากกว่านั้น ก็คือ ช่วงบ่ายวันเดียวกัน (15 พ.ย.) เป็น...นายสมคิด และนายอุตตม ที่สั่งการเข้มให้หน่วยงานในสังกัดอย่าง....สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เรียก ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ 19 แห่ง รวมถึงผู้บริหารบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง รวม 23 แห่ง มาหารือและสั่งการให้เร่งรัดเบิกจ่ายเงินงบประมาณราว 1 แสนล้านบาท เพื่อเร่งขยายการลงทุนในช่วง 2 เดือนสุดท้ายปี 2562 ต่อเนื่องจนถึงแผนการลงทุนในปี 2563
ด้วยความคาดหวังจะได้เห็น...ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในปี 2562 เติบโตอยู่ที่ 2.8% ตามที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้
ก็ถ้าเศรษฐกิจไทยมันดีจริง...กระทั่ง นักลงทุนยักษ์ใหญ่จากชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก จ่อคิวตบท้ายเดินสายเข้าลงทุนในไทยมากขนาดนั้น แล้วทำไมจึงเกิดภาพซ้อน...คนตกงาน โรงงานปิดตัว รัฐบาลต่องเร่งรัฐวิสาหกิจลงทุนมากมายขนาดนั้น
ลำพังงบลงทุน 1 แสนล้านบาทของหน่วยงานรัฐ ถือว่าน้อยมาก...เมื่อเทียบขนาดธุรกิจ รวมถึงการลงทุนภาคเอกชน การบริโภคภารประชาชน
จะให้คนไทยเชื่อใคร? ระหว่าง...คำหวานของรัฐบาล หรือภาพจริงที่ปรากฏในสังคมไทย!!!