ดูเหมือนถนนทุกสายในเวลานี้ต่างกำลังใจจดใจจ่อกับการประมูล เพื่อออกใบอนุญาต 5จี ที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช . “ป้ำผีลุกปลุกผีนั่ง” ตีปี๊บกันมาโดยตลอดก่อนหน้านี้
หลังจาก กสทช. ได้ร่นระยะเวลาการจัดประมูลเพื่อออกใบอนุญาต 5จี จากเดิมที่จะดำเนินการในช่วงปลายปี 2563 ถึงต้นปี 64 มาเป็นการเร่งโม่แป้งกระบวนการประมูลเพื่อออกใบอนุญาต 5จี ที่ว่านี้ให้ได้ในต้นปี 63 เพื่อที่ประเทศไทยจะได้ไม่ตกขบวนรั้งท้ายเฉกเช่นการประมูลเพื่อออกใบอนุญาต 3จี และ 4จี ในอดีต
ตีปี๊บเร่ง 5จี..
ล่าสุด กสทช. ร่วมกับอีกหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ก็ทุ่มทุนจัดสัมมนาใหญ่ “โร้ดแม็พ 5จี ดันไทยนำ ASEAN” ตีปี๊บความจำเป็นที่ต้องร่นเวลาการประมูลแจกใบอนุญาตเพื่อเร่งกระบวนการเปิดให้บริการ 5จีให้เร็วขึ้น ระดมทุกภาคส่วนทั้งผู้ประกอบการ หอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งภาคบริการต่างๆ ซึ่งทุกฝ่ายต่างขานรับความจำเป็นที่ต้องเร่งรัดการพัฒนา 5จีให้เกิดขึ้น เพื่อที่ประเทศไทยจะได้ไม่ตกเทรนด์โลก
ล่าสุดกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา กสทช.ได้ไฟเขียวหลักเกณฑ์การประมูลคลื่น 5จี ที่จะทำการประมูลไปพร้อมกันทั้งแพคเกจใน 4 ย่านความถี่ ประกอบด้วยคลื่น 700, 1800, 2600 เมกะเฮิร์ตซ์ (MHz) และ 26 กิกะเฮิร์ตซ์ (GHz) และเตรียมนำร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวไปทำการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ พร้อมกำหนด "ไทม์ไลน์" จัดประมูล 5จี ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 หรือ 3 เดือนให้หลังจากนี้
ดูเหมือนกระแสตอบรับที่มีต่อร่างหลักเกณฑ์ประมูล 5จีที่ กสทช.เพิ่งทำคลอดออกมานั้นจะ “เงียบเป็นเป่าสาก” ผู้ประกอบการสื่อสารโทรคมนาคมแทบจะไม่มี Feedback ตอบรับหรือ "ไม่อินังขังขอบ" เอากับเกณฑ์การประมูลที่ กสทช.ตีปี๊บออกมา จนก่อให้เกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเกณฑ์การประมูล 5จี ที่ทุกฝ่ายเพรียกหา?
คลี่ไส้ในประมูลคลื่น 5จี
เมื่อคลี่เกณฑ์การประมูลคลื่นทั้ง 4 ย่านความถี่ ที่ กสทช. ตีปี๊บจะนำออกประมูลในต้นปี 2563 จะเห็นได้ว่า ในส่วนของหลักเกณฑ์การประมูลคลื่น 700 MHz และ 1800 MHz นั้น ยังคงตั้งราคาประมูลขั้นต่ำจากราคาประมูลในครั้งก่อน โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้แต่น้อย
ขณะที่คลื่น 2600 MHz ที่ กสทช. นำออกมาประมูลที่ถือเป็นคลื่นใหม่ที่ยังไม่มีประเทศใดดำเนินการมาก่อน นอกจากจีนที่มีการทดลองนำมาใช้ จึงทำให้ไทยกลายเป็นประเทศเดียวในโลกที่จะมีการนำคลื่นนี้ออกมาประมูล จนทำให้เกิดคำถาม เรากำลังจะเอาอนาคตประเทศเป็นหนูตะเภาทดลองยาหรือไม่?
แถมการกำหนดราคาคลื่นขั้นต่ำ คลื่น 2600 MHz ที่ว่าก็แปลกประหลาดกันเข้าไปใหญ่ ทั้งๆ ที่ทุกฝ่ายรู้กันอยู่เต็มอก คลื่น 5จี ที่จะนำออกประมูลนี้เป็นคลื่นใหม่ที่ยังไม่เคยมีการใช้งานที่ใดมาก่อน ไม่สามารถจะอ้างอิงผลศึกษา หรือหา Bench mark ใดๆ มาอ้างอิงได้ แต่กระนั้น กสทช.ก็ยังไปควานเอาผลศึกษาของสถาบันไหนก็ไม่รู้มาหามูลค่าคลื่นตั้งแต่ จนถอดสมการออกมาได้ที่ราคา 300 ล้านบาท ก่อนจะตัดสินใจปรับขึ้นมาเป็น 423 ล้านบาท/ใบอนุญาต ขนาด 5 เมกะเฮิร์ตซ์
"ไม่มีใครบอกได้ว่า มูลค่าคลื่นขั้นต่ำที่ กสทช. ประกาศออกมานั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร การประเมินมูลค่าหุ้นจะถูกต้องไม่ถูกต้องอย่างไร ใช่หรือไม่ใช่อย่างไรไม่มีใครรู้ได้ ทุกอย่างเป็นเรื่องของการคาดการณ์หรือไม่" เสียงสะท้อนจากผู้ที่คว่ำหวอดในแวดวงสื่อสารโทรคมนาคมจึงสัพนอกเอาว่า ไม่ต่างอะไรไปจาก "เหล้าใหม่ในชวดเก่า" เมื่อได้เห็นร่างหลักเกณฑ์การประมูล 5จี ที่ กสทช.เพิ่งทำคลอดออกมา
5จี คือโครงสร้างพื้นฐาน?
สิ่งที่ กสทช. และรัฐบาล โดยเฉพาะคณะกรรมการขับเคลื่อน 5จีแห่งชาติ ควรตระหนักก็คือ การประมูลและออกใบอนุญาตในการพัฒนา5จีนั้นแท้จริงแล้ว คือ “บริการโครงสร้างพื้นฐานที่ถือเป็น Infrastructure“ ไม่ต่างไปจากการโครงสร้างสร้างพื้นฐานที่เป็นถนนหนทาง หรือการลงทุนระบบรางที่รัฐบาลเป็นผู้ลงทุน 100%
แม้จะมีการให้สัมปทานเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าหรือรถไฟความเร็วสูง ไฮสปีดเทรน แต่จะเห็นได้ว่าภาครัฐต่างมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนในกิจการเหล่านี้อย่างชัดเจน แทบจะเรียกได้ว่าสนับสนุนการลงทุนแทบจะสำลัก!
อย่างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่ากว่า 2.24 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมเพิ่งให้สัมปทานกับกลุ่มซีพีไปล่าสุดนั้น รัฐบาลไม่เพียงจะสนับสนุนด้านการเวนคืนที่ดินกว่า 4,000 ไร่ ยังสนับสนุนเม็ดเงินภาษีในการก่อสร้างอีกกว่า 1.4 แสนล้านบาท ทั้งยังให้เอกชนได้สิทธิ์พัฒนาที่ดินมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาทด้วย ขณะที่การลงทุนรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ นั้น รัฐเองต่างลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้หมด เอกชนที่จะเข้ามาลงทุนมีภาระแค่จัดหาระบบรถไฟฟ้าเข้ามาวิ่งให้บริการเท่านั้น
แต่ในส่วนของการลงทุน 5จี ที่รัฐบาลกำลังตีปี๊บไทยจะต้องเร่งเปิดให้บริการให้ได้ในกลางปี 2563 อะไรนั้น มีคำถามว่า “รัฐบาล และ กสทช. มีมาตรการในการส่งเสริมช่วยเหลือภาคเอกชนที่จะลงทุนในกิจการเหล่านี้อย่างไรบ้าง”
"แค่จะจัดสรรคลื่นให้ ก็ยังคิด "ค่าต๋ง" ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ยุบยั่บ มุ่งหวังแต่นำรายได้เข้ารัฐเข้าคลังเป็นหมื่นล้านบาท โดยไม่คำนึงเลยว่าเอกชนที่ได้ใบอนุญาตไปจะมีศักยภาพลงทุนเพียงพอหรือไม่ เอกชนจะต้องลงทุนทุกอย่างเองหมดโดยภาครัฐ และ กสทช. ไม่เคยมีมาตรการช่วยเหลือใดๆ แม้แต่น้อย แม้แต่การขยายเวลาจ่ายค่าธรรมเนียมออกไปก็ใช่ว่าจะให้ฟรี ยังถูกคิดดอกเบี้ย ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับบริการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ"
ถามหาสัญญา-จุดยืน กสทช.?
ก่อนหน้านี้ กสทช. เคยป่าวประกาศมาโดยตลอดว่า การพัฒนา 5จี จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีการรีเซ็ต/ล้างไพ่หลักเกณฑ์การประมูลใหม่ เพื่อขับเคลื่อน 5จี ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยให้จงได้ ถึงขั้นป่าวประกาศนโยบาย อาจกันเงินที่ได้จากการประมูลกลับเข้าไปส่งเสริมหรืออุดหนุนการขยายโครงข่ายของภาคเอกชน เพราะการลงทุน 5จีนั้น ต้องใช้เงินลงทุนสูงมากเกินขีดความสามารถที่เอกชนจะลงทุนได้โดยลำพัง
“สิ่งเหล่านี้หายไปไหน กระบวนการประมูลที่ กสทช. ป่าวประกาศว่าจะต้องรีเซ็ตเกณฑ์การประมูลใหม่ทั้งหลายแหล่ และจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องลงไปให้การสนับสนุนการลงทุนในโครงข่าย 5จี ที่ว่านั้นหายไปไหน?"
เมื่อ กสทช. ยังคงติดยึดและใช้หลักเกณฑ์การประมูลเดิมเช่นนี้ ทุกฝ่ายจึงได้แต่กังวล เส้นทางการพัฒนา 5จีของประเทศไทยจะเดินไปทางไหนกันแน่ จะคาดหวังว่าจะเจริญตามรอยประเทศอื่นๆ ได้มากน้อยแค่ไหน
"เอาแค่การจัดสรรคลื่นให้ Operator ที่จะร่วมขับเคลื่อน จี วันนี้เราก็แตกต่างกับประเทศอื่นๆ เขาลิบลับแล้ว เพราะประเทศอื่นนั้น บางประเทศเขาให้คลื่นฟรีแก่ผู้ประกอบการที่จะทำ 5จี ด้วยซ้ำ บางประเทศรัฐยังอัดเม็ดเงินสนับสนุนลงไปให้อีก แต่ประเทศไทยเรานั้น วันนี้ยังตั้งป้อมมุ่งจะรีดค่าต๋งจากการประมูลเข้าเป็นรายได้รัฐ เรายังเอาหลักเกณฑ์ประมูลเดิมในยุค 3จี และ 4จีมาใช้อยู่เลย"
ส่องไทยตกขบวน 5จีหรือไม่?
กับข้ออ้างของ กสทช.ที่ต้องเร่งรัดกระบวนการจัดประมูลคลื่น 5จี จากเดิมที่กระบวนการเหล่านี้จะไปเริ่มเอาปลายปี 2563 ถึงต้นปี 2564 เพื่อให้ทันเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้ที่จะมีการเปิดให้บริการในกลางปีหน้า ซึ่งอาจทำให้ไทยตกขบวน 5จี จนทำให้นักลงทุนทิ้งไทยไปประเทศเพื่อนบ้านแทนนั้น
แต่เมื่อเหลียวไปมองเพื่อนบ้านในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย เวียดนาม อินโดฯ หรือสิงคโปร์นั้น กลับพบว่า เขาเอาคลื่น 3.5GHz มาเป็นคลื่นหลักของการให้บริการ 5จีทั้งสิ้น จะมีก็แต่ประเทศไทยไปเอาคลื่น 2600 MHz มาใช้ซึ่งเป็นคลื่นใหม่ที่ไม่มีประเทศใดใช้มาก่อน
ทั้งที่ตัวเลขาธิการ กสทช. ก็ออกมายอมรับกับสื่อในระหว่างนำคณะสื่อมวลชนชุดใหญ่บินปร๋อไปดูเส้นทางการพัฒนา 5จีของประเทศสวีเดนมาวันวานนี้เองว่า "คลื่นที่ดีที่สุดในการนำมาทำ 5จี ก็คือ คลื่น 3,400- 3,700 MHz (3,500 MHz) รองลงมา คือ คลื่น 2,600 ซึ่งตอนนี้กำลังเจรจาเรียกคืนคลื่น 3,400-3,700 ที่ใช้ในดาวเทียมไทยคมอยู่ คาดว่าในเดือนกันยายน 2563 น่าจะมีการประมูลคลื่น 3,400-3,700 MHz ตามมา
ฟังแล้วก็ให้อึ้ง! เขารู้กันมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้วว่า คลื่นที่เหมาะสมที่จะนำมาทำ 5จี ที่ดีที่สุด คือ คลื่น 3.5 GHz แล้วจะไปเอาคลื่น 2600 MHz มาเป็นหนูทดลองยาทำไม? เหตุใด กสทช. ถึงไม่ไปเร่งรัดเจรจากับกระทรวงดีอีเอส เพื่อหาทางเรียกคืนคลื่น 3.5 GHz ที่ว่านี้ ซึ่งหากจะเร่งรัดเจรจากันจริงๆ แบบไม่มีลีลา ก็น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 5-6 เดือนจากนี้ก็น่าจะทำได้แล้ว
ถึงเวลานั้นค่อยจัดประมูลก็ยังไม่สาย ไม่ได้ทำให้ประเทศต้องตกขบวน 5จี หรือหล้าหลังเพื่อนบ้านแต่อย่างใด เพราะหากจะย้อนกลับไปพิจารณาเส้นทางประมูล 3จี และ 4จี ก่อนหน้า ประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่จัดประมูลคลื่น กว่าจะประมูลคลื่น 3จี ได้ก็แทบจะเป็นประเทศสุดท้ายของโลกด้วยซ้ำ!
"แต่พอประมูล 5จี เรากลับอยากจะเป็นผู้นำโลกขึ้นมาซะงั้น ท่ามกลางความเสี่ยงที่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเป็นอย่างไร เหตุใดรัฐถึงไม่รอดูสถานการณ์ของโลกอีกสักนิด ซึ่งก็กินเวลาไม่มากเลย หรือใช้โอกาสที่กำลังรอให้ทุกอย่างนิ่งและ Settle คลื่นให้ได้เสียก่อนมันจะไม่ดีกว่าไปเร่งรัดประมูลคลื่นออกไปโดยเอาอนาคตประเทศไปเสี่ยงเช่นนี้หรือ"
เหตุใดเราไม่รอให้ทุกอย่างยิ่ง หรือ Settle ให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยขยับจัดประมูลก็ยังไม่สาย และไม่ได้ทำให้ไทยต้องตกขบวนรถไฟสาย5จีนี้แต่อย่างใด ดีกว่า เร่งรัดจัดประมูลไปในถ้ำกลางความเสี่ยงและความผันผวนของตลาดโลกที่เราเองก็ยังไม่รู้ว่า อนาคตเศรษฐกิจไทยประเทศไทยจะอยู่ตรงไหน?
แค่ได้ชื่อว่าเราเป็นประเทศแรกที่เปิดประมูล 5จี ได้ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้เราได้รับการยกย่องเชิดชูว่ามีวิสัยทัศน์จนทำให้นักลงทุนแห่แหนกันมาลงทุน
เพราะหากประมูลได้ไปแล้วต้องออกน้ำออกทะเลไปเพียงลำพัง ผู้ประกอบการไม่มีศักยภาพจะลงทุนได้ หรือทุนไปแล้วแทบไม่มีเครื่องลูกข่ายรองรับ หรือเครื่องลูกข่ายรองรับในราคาที่แพงสุดกู่แล้ว 5จี ที่ได้ก็อาจเป็นดาบ 2 คม ที่ทำให้ผู้ประกอบการ และผู้ใช้บริการตายทั้งเป็นอยู่ดี
รอผลประชาพิจารณ์ที่ชัดเจน แล้วค่อยมากำหนดนโยบายกันดีกว่าหรือไม่?