หลังจาก “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ได้นำเสนอข่าวพาดพิงถึงการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 25 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา กับประเด็นพาดข่าวที่ว่า...แนะดึง “กลุ่มเกษียณ” ขับเครน-เทรลเลอร์ แก้ปมคนท่าเรือเล็งทำงานเฉพาะล่วงเวลา
จากนั้นไม่นาน ร.ท.กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้ทำและส่งหนังสือชี้แจงข่าวดังกล่าว ถึงเว็บไซต์สำนักข่าว Online เนตรทิพย์ กระพริบข่าวร้อน หรือ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” (ดูเอกสารประกอบ) ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 หรือ 6 วันหลังจากนั้น
สรุปเนื้อความในหนังสือชี้แจง มี 3 ประเด็น เริ่มจาก...
1. การท่าเรือฯ ไม่มีนโยบายในการรับพนักงานผู้เกษียณอายุเข้ามาปฏิบัติงาน เนื่องจากต้องปฏิบัติตามมาตรา 9 (2) ของ พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 ที่กำหนดให้พนักงานรัฐวิสาหกิจ ต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์
2. ปัจจุบัน การท่าเรือฯ ได้เร่งดำเนินการบรรจุตำแหน่งพนักงานเครื่องมือทุ่นแรงให้เพียงพอ โดยประกาศรับสมัครสอบคัดเลือกจากพนักงานภายในการท่าเรือฯ ซึ่งการท่าเรือฯ จะเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบกับการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการ
และ 3. การปฏิบัติงานในเวลาปกติของพนักงานการท่าเรือฯ อยู่ระหว่าง 08.30 - 16.30 น. และนอกเวลาปกติ อยู่ระหว่างเวลา 16.30 - 08.30 น. ของวันถัดไป ซึ่งจะมีระบบการประเมินผลการปฏิบัติงาน กำกับดูแลกระบวนการทำงาน และพนักงานการท่าเรือฯ ทุกคนต้องปฏิบัติงานในเวลาปกติ หากพนักงานที่ได้รับมอบหมายต้องปฏิบัติงาน จะต้องมาปฏิบัติงานเพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้บริการ ซึ่งรอบการปฏิบัติงานดังกล่าว จะมีพนักงานการท่าเรือฯ ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ สนับสนุนและขับเคลื่อนการขนส่งทางน้ำและการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ ด้วยการให้บริการที่ได้มาตรฐานสากล
หลังจากได้รับหนังสือชี้แจงดังกล่าว “สำนักข่าวเนตรทิพย์” พยายามติดและประสานงาน เพื่อขอนัดสัมภาษณ์พิเศษ ผู้อำนวยการการท่าเรือฯ เพราะเพียงแค่หนังสือชี้แจงที่ส่งมา ไม่น่าจะเพียงพอต่อการจะนำเสนอข่าวได้อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะกับการเช็คข่าวจาก “ฝ่ายนโยบาย” ที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลการท่าเรือฯ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
ไม่ว่าจะในระดับรองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากกระทรวงการคลัง แม้กระทั่งกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็น “ต้นสังกัด” ของการท่าเรือฯ เอง
ทว่า ทุกครั้งที่มีประสานงานผ่านไปยังหน้าห้องของผู้อำนวยการการท่าเรือฯ กลับไม่ได้รับการประสานงานกลับ จนกระทั่ง ใกล้หมดเดือนพฤศจิกายน 2562 อันเป็น “เดือนต้นทาง” ของจุดเริ่มต้นหนังสือชี้แจงฉบับนั้น
เพื่อไม่ให้เกิดภาวะ “สุญญากาศ” จนกลายเป็นเหตุการณ์ “คลื่นกระทบฝั่ง” ดังนั้น “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ขอฉายประเด็นข่าวนี้ อีกรอบ...ก็อย่างที่เห็น เริ่มด้วยการนำเสนอข้อชี้แจงจาก ผู้อำนวยการการท่าเรือฯ ทั้ง 3 ข้อ และจากนี้ เป็นข้อมูลอีกด้านที่อยากให้ผู้อ่าน แม้กระทั่ง ผู้บริหารและพนักงานของการท่าเรือฯได้รับรู้
ก่อนหน้านี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” เคยหยิบยกประเด็นที่ นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ ซึ่งพร้อมจะขานรับนโยบายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอุตตม สาวนายน) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายสันติ พร้อมพัฒน์) ในการเปิดรับสมัคร “ข้าราชการเกษียณอายุ” ทั้งของกรมธนารักษ์เอง และจากกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย เพื่อนำมาช่วยเหลืองานด้านการทำรังวัดที่ดินราชพัสดุทั่วประเทศกว่า 12 ล้านไร่
กระทั่ง ได้มีโอกาสสอบทานไปยัง “2 รัฐมนตรีคลัง” ในเวลาต่อมา และได้รับคำตอบทำนองเดียวกัน
มากกว่านั้น จากการสอบถามในเชิงนโยบายกับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งเดินทางมาร่วมประชุมและตรวจเยี่ยมการทำงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง ก็ได้รับคำตอบในลักษณะเดียวกัน กล่าวคือ...
“ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (หมายถึงสังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี มากกว่าร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ดังนั้น จำเป็นที่รัฐบาล หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน จะต้องไม่ทอดทิ้งผู้สูงอายุไว้ข้างหลัง โดยหากคนกลุ่มนี้ ยังพอมีศักยภาพในการทำงาน มีความพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจและสติปัญญาแล้ว ภาครัฐจะต้องให้โอกาสแก่พวกเขา ได้เข้ามาทำงานในสาขาที่จำเป็นต้องมีคนที่มีประสบการณ์ตรงในสายงานที่ยังขาดแคลนมาช่วยในทำงาน
ไม่เพียงให้คนสูงอายุที่มีความพร้อมได้มีงานทำ และมีรายได้ หากยังทำให้พวกเขาได้รู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติ ที่สำคัญยังช่วยลดภาระด้านงบประมาณของภาครัฐ ที่จะต้องจัดมาดูแลคนกลุ่มนี้ ซึ่งหากพวกเขามีโอกาสมาทำงานในสายงานดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อทั้งระบบการทำงาน ระบบเศรษฐกิจ และลดภาระด้านงบประมาณของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี”
ข้างต้นนั่นคือ ภาพรวมของมุมมองจากฝ่ายนโยบายที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” พอจะสรุปได้ และเชื่อว่า...มุมมองในลักษณะดังกล่าว จากทั้ง นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่กำกับดูแลการท่าเรือฯ โดยตรง ก็คงไม่ต่างจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลัง แต่อย่างใด?
ประเด็นคือ...ขณะที่ การท่าเรือฯ ยังอยู่ระหว่างการสรรหา “คนใน” เพื่อมาทำหน้าที่ในตำแหน่งพนักงานเครื่องมือทุ่นแรง (ขับรถเครน, รถยก และรถพ่วงเทรลเลอร์) และยังไม่ได้ตัวมาทำงานนั้น จะเป็นหรือไม่ที่จะเปิดโอกาสให้กับพนักงานที่เพิ่งเกษียณอายุทำงานไม่เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ หรือไม่เกิน 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้คนกลุ่มนี้...ได้มีโอกาสมาช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระหน้าที่ของพนักงานประจำ ที่รู้กันอยู่ว่า...
“แบกรอบ” ในการทำงานมากขนาดไหน?
เหตุการณ์ พนักงานขับรถพ่วงเทรลเลอร์ “เลขทะเบียน X22Y” เกิดอาการ “หลับใน” กระทั่ง ขับรถตกแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อไม่กี่สิบวันก่อนหน้านี้ จะเป็นคำตอบของปัญหาที่ว่า การท่าเรือฯ บังคับให้พวกเขาต้อง “แบกรอบ” ทำงานล่วงเวลาหรือไม่? อย่างไร?
โชคดีที่พนักงานคนนั้น รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด! หากเหตุการณ์นี้...มีคนเสียชีวิต? ต่อให้ “ต้นสังกัด” อย่าง...การท่าเรือฯ จ่ายเงินชดเชยให้ญาติคนตายมากมายเพียงไหน? มันก็ไร้ความคุ้มค่า เพราะมิอาจจะยื้อชีวิตจากการที่ต้องทน “แบกรอบ” ในการทำงาน“นโยบาย” ของการท่าเรือฯ อย่างแน่นอน!