“อุตฯ ประกันภัย - ผู้บริโภค - หน่วยงานรัฐ” จะเอาตัวรอดในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ที่มีอีก 2 ประเด็น “ขมวดปม” บีบรัดเข้ามาอีก นั่นคือ การรุกหนักของประกันภัยข้ามชาติ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่สุด! ใครจะอยู่ใครจะไป?
ผลกระทบจาก “พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2563” ต่ออุตสาหกรรมการประกันภัย กลายเป็นหัวข้อใหญ่ที่คนในแวดวงธุรกิจประกันภัย ไม่ว่าจะในกลุ่มประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัย ต่างให้ความสำคัญอย่างกว้างขวาง เนื่องเพราะสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตามมาจากการถือครองและนำข้อมูลลูกค้าไปใช้ในลักษณะที่อาจเข้าข่ายการ “ละเมิดสิทธิ” นั้น ช่างรุนแรงและแผ่วงกว้างอย่างมากมายจนเกินคาดคิด
นั่นจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้จัดงานสัมมนา Insurance in Digital World : Innovate the Future ขึ้นมาเมื่อช่วงสายวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ ออดิทอเรียม ชั้น 6 อาคารเพกาซัส ทรู ดิจิทัล พาร์ค ถนนสุขุมวิท โดยมี นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ทำหน้าที่ประธานในพิธีฯ พร้อมกับกล่าวระหว่างเปิดงานสัมมนาในครั้งนี้
ปลัดคลังในฐานะประธานบอร์ด คปภ. กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาถือว่าการประกันภัยได้มีบทบาทสำคัญและมีส่วนช่วยสร้างหลักประกันต่อสังคมไทยและระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย นอกจากจะเป็นหลักประกันในการบริหารความเสี่ยงให้กับชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระด้านงบประมาณแผ่นดินให้กับรัฐบาลอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตของผู้คน เห็นได้ว่า จากปี 57 ที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจากร้อยละ 45 เพิ่มเป็นร้อยละ 82 ในปี 61 ติดอันดับต้นๆ ของโลก อีกทั้งยังขยายฐานผู้ใช้ไปยังกลุ่มเกษตรกรและชาวบ้าน ที่ต่างก็ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เห็นได้ชัดว่าทุกวันนี้ ผู้บริโภคสามารถซื้อประกันภัยผ่านสมาร์ทโฟนได้โดยไม่ต้องเจอตัวแทนนายหน้าเหมือนแต่ก่อน
พร้อมกับยกตัวอย่างของประเทศสิงคโปร์ ที่นำนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านประกันภัย (InsurTech) โดยเฉพาะ “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) และเครือข่ายบล็อกเชนมาใช้ จนสามารถเรียนรู้พฤติกรรมและความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค กระทั่งสามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีต้นทุนต่ำ จนพบว่ามีคนไทยจำนวนเดินทางไปซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ประเทศสิงคโปร์ เพราะมีราคาถูก แต่กลับให้การคุ้มครองมากกว่า ทั้งนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทประกันภัยไทยจะต้องนำเทคโนโลยีฯมาปรับใช้ในการดำเนินงาน เพื่อลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานและให้บริการ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสความอยู่รอดในการแข่งขันจากต่างประเทศ
ส่วนภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ขณะนี้ได้มีความพยายามในการปรับตัวให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของดิจิทัล เทคโนโลยี ด้วยการนำระบบอีเพย์เม้นท์ และเครือข่ายบล็อกเชนมาใช้ในการดำเนินงาน ขณะเดียวกัน ในส่วนของ คปภ.เอง ก็มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะ แอปพลิเคชั่น “Me Claim” มาช่วยเป็น “ตัวกลาง” ในการดำเนินงานและประสานงานกับบริษัทประกันภัยต่างๆ เพื่อลดความเสียหาย ลดต้นทุนและเวลาในการดำเนินงาน รวมถึงลดเวลาในการให้บริการและเพิ่มความสะดวกสบายแก่ประชาชน
สำหรับธุรกิจประกันภัย ประธานบอร์ด คปภ. เชื่อว่า หากสามารถนำเทคโนโลยีฯเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการโดยเฉพาะการดูแลฐานข้อมูลของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านเพศ วัย อาชีพ พฤติกรรม และไลฟ์สไตล์ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดล้วนมีความสำคัญต่อการพิจารณาออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการอย่างแท้จริงของผู้บริโภคในปัจจุบัน อีกทั้งยังช่วยให้ค่าเบี้ยประกันภัยของลูกค้ามีราคาที่ถูกลงอีกด้วย
นายประสงค์ ย้ำด้วยว่า ขณะนี้ มีบริษัทประกันภัยจากต่างประเทศรุกเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม “ประกันภัยต่อ” (Reinsurance) ที่แม้บางกลุ่มยังคง “รับเบี้ยประกันภัยต่อ” จากนอกประเทศ แต่เริ่มบางกลุ่มที่ได้รุกเข้ามาตั้งสำนักงานสาขาในไทย เพื่อรับประกันภัยส่วนเกินที่บริษัทประกันภัยไทยไม่สามารถจะเพิ่มทุนและแบกรับความเสี่ยงได้มากไปกว่านี้ ทำให้ “บริษัทประกันภัยต่อ” จากต่างชาติ ได้รับผลประโยชน์จากประเทศไทยไปฟรีๆ
นอกจากนี้ เมื่อพวกเขาเห็นว่ากำไรจากการ “รับประกันภัยต่อ” มีสูงมาก ก็อาจจะรุกเพิ่มเข้ามาได้อีก หากเป็นไปได้ควรมีการจัดตั้งกองทุนฯ เพื่อเข้ามาดำเนินการรับเบี้ยประกันภัยต่อ โดยไม่ต้องส่งไปยังต่างประเทศ แต่จะต้องดึงให้ภาคประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับกองทุนฯที่ว่านี้ด้วย เพื่อให้กำไรอยู่ในประเทศของเรา
สอดรับกับมุมมองของ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. ที่ระบุว่า จากนี้ไปประเทศไทยควรจะมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยในลักษณะ “สั่งตัดพิเศษ” (Tailor Made) ที่สอดรับกับความต้องการ และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค แทนที่ผลิตภัณฑ์ประกันภัยในแบบ “เสื้อโหล” (One size fits all) ไม่ว่าจะเป็นไปในลักษณะการตอบสนองความต้องการในแบบ “เฉพาะคน” และ/หรือ “เฉพาะกลุ่ม” อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนั้นได้ จะต้องมีการนำเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ ควบคู่กับนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อทำให้ภารกิจนี้มีความเป็นไปได้และประสบผลสำเร็จอย่างที่คาดหวัง
“ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจประกันภัยจะต้องลงทุนการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการดำเนินงาน เพื่อลดต้นทุน และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่” เลขาธิการ คปภ. ย้ำ
สำหรับประเด็น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่พบว่ามีความละเอียดอ่อนต่อการบังคับใช้กับทุกฝ่าย โดยเฉพาะกับอุตสาหกรรมประกันภัย เนื่องจากหลายเรื่องยังขาดความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นนิยมของคำว่า “ข้อมูลส่วนบุคคล” ที่มีทั้งทางตรงและทางอ้อม “สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล” ที่มีมาก นอกจากนี้ ยังในส่วนของ “หน้าที่” ทั้งที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของภาครัฐและหน้าที่ของภาคเอกชน ทั้งหมดเกี่ยวข้องและพาดพิงไปถึงการ “ละเมิด” ทั้งในส่วนของ “สิทธิและหน้าที่” “ข้อมูลส่วนบุคคล” และอื่นๆ ที่สำคัญความผิดในการ “ละเมิด” เกี่ยวพันไปถึงการดำเนินคดี ทั้งคดีแพ่งและอาญา รวมถึงคดีทางปกครอง อีกทั้งยังมีโทษจำคุกและค่าปรับทางปกครองสูงถึง 5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมากๆ โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยตามมาอีกมากมาย
ดังนั้น บริษัทประกันภัยในฐานะที่เป็นผู้ดูแลและถือข้อมูลของลูกค้า จะอัพเดทข้อมูลล่าสุดของลูกค้าได้อย่างไร และจะรู้ได้อย่างไรว่าช่วงไหนที่ข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกค้าจะเพิกถอนความยินยอม ซึ่งเหล่านี้ จำเป็นจะต้องเทคโนโลยี เช่น AI หรือ บล็อกเชน เข้ามาช่วยในการดำเนินงาน ก็สามารถจะดำเนินงานได้
“ขณะนี้ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจประกันภัย ไม่ได้จำกัดตัวอยู่แค่ พ.ร.บ.ประกันภัย ที่หลายคนรู้จักดีในแทบทุกแง่มุม เรียกว่าเป็น “เซียน” ในแง่กฎหมายประกันภัย แต่ตอนมันไปไกล พูดว่าได้ “เหนือเซียน” ยากเกินกว่าจะเรียนรู้และเข้าใจได้ง่ายๆ อีกต่อไป” เลขาธิการ คปภ. พร้อมกับเรียกร้องและส่งเสริมให้บริษัทประกันภัยได้ทำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานโดยเร็ว เพื่อลดทอนปัญหาที่จะมีตามมาในอนาคต
ด้าน นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า “เทคโนโลยี ดิสรับทีฟ” จากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ก่อเกิดผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อธุรกิจประกันภัยของไทย ที่จะต้องเร่งปรับตัวกันขนานใหญ่ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ และการบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่แปรเปลี่ยนไป ขณะเดียวกัน ก็จะต้องระวังในเรื่องการบริหารข้อมูลของลูกค้า ไม่ให้เกิดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2563 ที่จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี หน้า (2563) อีกด้วย
เนื่องจากภาคธุรกิจประกันภัยมีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ ในหลากหลายมิติ ดังนั้น จึงต้องทำความเข้าใจถึงกฎหมายข้างต้นอย่างถ่องแท้ เพื่อเตรียมตัวปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
น่าสนใจว่า...ผลกระทบจาก “ดิจิทัล เทคโนโลยี” จนถึงการรุกคืบเข้ามาแย่งฐานลูกค้าประกันภัยในประเทศไทย ของบริษัทประกันภัยข้ามชาติ กระทั่ง ผลพวงจากกฎหมายที่เกี่ยวของกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทั้งอุตสาหกรรมประกันภัย และผู้บริโภค รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแล อย่าง คปภ. อย่างไรบ้างนั้น
เป็นสิ่งที่คนในแวดวงอุตสาหกรรมประกันภัย และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ไม่ควรกระพริบตา เพราะสิ่งนี้...มาเร็วกว่าที่คาดคิดเอาไว้เยอะมาก ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อล่วงเข้าสู่ปี 2563 ได้มานานเสียด้วย!!!