เอ่ยชื่อเครือเบเทโกรแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกคนจะนึกถึงผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพระดับ “พรีเมี่ยม” ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์หมู ไก่ ไข่ หรือไส้กรอก แฮม ฯลฯ ที่ล้วนแล้วแต่มีคุณภาพในระดับราคาที่จับต้องได้ ..
แม้ในอดีตจะเน้นแต่การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านคู่ค้าพันธมิตร ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือโมเดิร์นเทรดทั้งหลาย แต่ปัจจุบันนั้นผลิตภณฑ์ เบทาโกร นั้นเข้าถึงก้นครัวของทุกบ้านได้อย่างสะดวกแล้ว
“วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์ ถึงผลการดำเนินงานโดยรวมของเครือเบทาโกรในปีนี้ว่า ผลการดำเนินงานโดยรวมนั้น ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้ยอดขายโดยรวมของเครือเบเทโกรในปีนี้จะยังไม่แตะ 100,000 ล้านบาท เนื่องจากมีการปรับปรุงทางบัญชี แต่ก็ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ในส่วนของตลาดอาหารโดยรวมยังคงเติบโตได้ดี ทำให้ในปีหน้า 2563 เบทาโกรจะรุกตลาดอาหารเพื่อการบริโภค Ready to Eat มากขึ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหารและกระจายสินค้า Food Innovation& Distribution Center เนื้อที่กว่า 50 ไร่ ที่ศูนย์อุตสาหกรรมนวนคร ซึ่งจะเป็นทั้งครัวผลิตอาหารที่หลากหลาย และศูนย์กระจายสินค้าให้กับคู่ค้าต่างๆ โดยเฉพาะโมเดิร์นเทรดและซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ทั้งหลาย
ส่วนโมเดิร์นเทรด หรือ “ช็อปเบทาโกร” ที่เป็นสแตนด์ อโลน ที่ปัจจุบันมี่อยู่ 18 สาขานั้น ในปี 63 จะขยายเพิ่มขึ้นอีก 20 สาขาเน้นตลาดสำนักงานและแนวรถไฟฟ้า และจะเปิดให้ธุรกิจเอสเอ็มอี (SME) เข้ามาเป็นพันธมิตรทำอาหารอันหลากหลาย เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคเข้ามาจำหน่ายผ่านช่องทางของเบเทโกร เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้แก่ผู้บริโภค และเพื่อช่วยให้เอสเอ็มอีเติบโตไปด้วยกัน
ในส่วนของตลาดส่งออกนั้น ยังคงเติบโตไปได้ดียกเว้นตลาดฮ่องกงที่เผชิญกับปัญหาประท้วงของม็อบที่ทำให้ตลาดส่งออกดังกล่าวชะงักงันลงไป แต่ในส่วนของตลาดจีนที่ก่อนหน้ามีปัญหาเรื่องโรคระบาดของฟาร์มเลี้ยงหมู ทำให้ต้องมีการทำลายหมูไปกว่า 150 ล้านตัวนั้น ช่วงเวลานี้ถือเป็นโอกาสที่จีนจะต้องมีการนำเข้าหมูจากทั่วโลก เพื่อป้อนตลาดผู้บริโภคครั้งใหญ่ “ตลาดจีนนั้นทำลายหมูไปกว่า 150 ล้านตัว หรือกว่า 10%ของตลาดหมู ทำให้จีนจะต้องเปิดให้มีการนำเข้าครั้งใหญ่ถือเป็นโอกาสทองของผู้เลี้ยงผู้ผลิตอาหารไทยกับการดูแลเกษตรกร”
ในส่วนของการดูแลด้านต้นทุนการผลิตอาหารนั้น CEO ในเครือเบทาโกร กล่าวยอมรับว่าต้นทุนการผลิตอาหารโดยทั่วไปของประเทศไทยนั้นสูงกว่าประเทศอื่น ๆ มากจากมาตรการของรัฐที่พยายามเข้าไปอุ้มชูความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ อย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ซึ่งราคาในตลาดโลกปัจจุบันนั้นอ่อนตัวลงเหลืออยู่ราว 5 บาทเศษ/ กก.เท่านั้น แต่ของไทยยังต้องซื้อในราคาที่สูงกว่า 8-9 บาท/ กก. ขณะที่ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ได้นั้น ก็ยังไม่เพียงพอ โดยไทยมีความต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปีละกว่า 9 ล้านตัน แต่สามารถผลิตได้เพียง 4 ล้านตันเท่านั้น จำเป็นต้องมีการนำเข้าข้าวโพดปีละกว่า 5 ล้านตัน ในราคาประกันที่สูงกว่า 8-9 บาท
“ต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ประเภทโปรตีนของไทยนั้นสูงกว่าประเทศอื่น ๆ มากแต่ผู้ผลิตอาหารสัตว์และทุกภาคส่วนก็ต้องยอมรับ เพื่อความเป็นอยู่ของเกษตรกร”
“เบทาโกร”..กับการเลือกกีฬากอล์ฟ!
“วสิษฐ์” ผู้บริหารระดับสูงในบทบาทนักกีฬากอล์ฟฝีมือดี ยังกล่าวถึงกิจกรรม CSR ของเครือเบทาโกรที่เลือกให้การสนับสนุน ”กีฬากอ์ล์ฟ” เป็นหลักด้วยว่า เพราะเล็งเห็นว่าการเล่นกอล์ฟนั้น เป็นกีฬาที่ทุกคนสามารถเล่นได้ เป็นกีฬาที่มีความเป็นสุภาพบุรุษ มีจิตใจที่มีความรับผิดชอบ มีคุณภาพ เป็นอะไรที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมขององค์กร ทางเบทาโกรเองก็มีชมรมกอล์ฟเบทาโกรที่มีสมาชิกอยู่กว่า 400-500 คนอยู่แล้ว ตั้งมากว่า 25 ปีแล้ว จึงเลือกกีฬากอล์ฟเป็นกีฬาหลักที่จะให้การสนับสนุน
ทั้งนี้ นักกีฬากอล์ฟในระดับโลกของไทยที่ทางเครือเบทาโกรให้การสนับสนุนอยู่ อาทิ โปรเม-เอริยา และโมริยา จุฑานุกาล , โปรช้าง –ธงชัย ใจดี, กิรเดช อภิบาลรัตน์, แดนไทย บุญมา, โปรเพชร และโปรแจน ที่เพิ่งเข้าร่วมในรายการ LPGA ปีล่าสุด
ขณะเดียวกัน ยังเลือกโปรช้าง-ธงชัย ใจดี เป็นโกลบอล แบรนด์ แอมบาสซาเดอร์ของเบทาโกร เพราะธงชัยนั้นเป็น Legendary ตำนานนักกอล์ฟไทยคนหนึ่งที่เจริญรอยตามตำนานนักกอล์ฟที่มีชื่อเสียงในระดับโลกของไทย
อีกทั้งยังมีพื้นเพเป็นคนลพบุรี อันเป็นฐานที่ตั้งธุรกิจของเครือเบทาโกรอยู่แล้ว จึงตัดสินใจเลือกธงชัย ใจดี เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ ซึ่งที่ผ่านมา เบทาโกรก็เป็นที่รู้จักของผู้คนโดยทั่วไปไม่แต่กีฬากอล์ฟ
“เบทาโกรในฐานะผู้ให้การสนับสนุนนักกอลฟ์ไทยไปแข่งขันในรายการระดับโลก ส่งผลสะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์เบทาโกรอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยความเป็นผู้มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ มีความเป็นมืออาชีพ มีเป้าหมาย ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนา “คุณภาพ” อย่างต่อเนื่องไม่เพียงกีฬากอล์ฟ ทำให้เราได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลกและทั่วประเทศว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ความปลอดภัย เป็นเลิศ และ เรา Treat นักกอล์ฟของเราในลักษณะที่เป็น Family เป็นคนในครอบครัว ไม่ได้ถือเป็นแค่ลูกค้าเท่านั้น เสียงสะท้อนที่เราได้รับนั้นก็ค่อนข้างดี ทำให้ในระยะ 1-2 ปีที ผ่านมานั้น เราได้พยายามพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กร โดยเน้นให้สังคมได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย ในราคาที่เป็นธรรม”
CEO เครือเบทาโกร ยังระบุว่า เบทาโกรเรานั้น สนใจเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค โดยวางโพซิชันนิ่งว่า จะเป็นแบรนด์ทางเลือกที่ดีที่สุดในตลาดทั้งในแง่คุณภาพและความเชื่อมั่น แม้ว่าเราจะไม่ใช่รายใหญ่ที่สุดก็ตาม โดยมีการสื่อสารถึงผู้บริโภคโดยตรงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียมากขึ้น ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เพื่อสร้างความรับรู้ ซึ่งผมมองว่าในระยะยาวจะต้องให้ความรู้ผู้บริโภค เพื่อให้รู้ว่ามีทางเลือก และเราพยายามวางบทบาทของเราต่อสังคม โดยพยายามเข้าไปช่วยเหลือให้มีการพัฒนาเรื่องอาหาร เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงอาหารคุณภาพดี ในราคาที่เหมาะสม