บางจาก เผย 5 ปี ลงทุน 50,000 ล้านบาท ตั้งเป้ามีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) โตขึ้น 2.5 เท่าภายในปี 2567 นำนวัตกรรมมาพัฒนาธุรกิจสีเขียวอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องแนวธุรกิจ BCG Economy Model พร้อมส่ง BBGI เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2563 เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทฯ ในฐานะผู้นำเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศ ประกาศจัดตั้ง SynBio Academy สนับสนุนการพัฒนาธุรกิจชีวนวัตกรรมในประเทศไทย
ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์ รายงานว่า นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังคงได้รับผลกระทบจากความผันผวนของสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ธุรกิจน้ำมันอยู่ในช่วงขาลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวต่อเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน ส่งผลให้ผลประกอบการในปี 2561 ต่อเนื่องมาถึงปี 2562 ของทั้งอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันรวมถึงของบริษัทฯ ปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทฯ ได้เตรียมกลยุทธ์ในการพัฒนาศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในกระบวนการต่างๆ ตามแผนยุทธศาสตร์ปี 2563-2567 ที่จะใช้เงินลงทุน 50,000 ล้านบาท สำหรับพัฒนาและขยายธุรกิจ โดยตั้งเป้า EBITDA เติบโต 2.5 เท่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า
สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ในปี 2562 มีกำลังการผลิตเฉลี่ยที่ระดับ 112,500 บาร์เรลต่อวัน และมีอัตรากำลังการผลิตสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 123,500 บาร์เรลต่อวัน ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังคงมีแผนยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มกำลังการกลั่นให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 120,000 บาร์เรลต่อวัน ภายในปี 2563
พร้อมศึกษาการลงทุนเพื่อปรับเป็นมาตรฐานยูโร 5 ทั้งโรงกลั่น คาดการณ์ว่า จะแล้วเสร็จในปี 2566 โดยคำนึงถึงความปลอดภัย ลดการใช้พลังงานภายใต้ความมุ่งมั่นในการเป็นโรงกลั่นสีเขียวที่ทันสมัยปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายจากการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานของโรงกลั่นจากการดำเนินโครงการ Rocket ให้ได้ไม่น้อยกว่า 900 ล้านบาทต่อปี ภายในสิ้นปี 2563
ในส่วนของธุรกิจการค้าน้ำมันโดย บริษัท BCP Trading จำกัด มีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากปีก่อนทั้งด้านปริมาณการค้าและธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ รวมทั้งมีธุรกรรมกับบริษัทคู่ค้าใหม่เพิ่มขึ้น จะขยายธุรกิจ โดยเพิ่มยอดการจัดซื้อและจัดจำหน่ายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ ให้อยู่ในระดับ 250,000 บาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบัน 68,000 บาร์เรลต่อวัน ในรูปแบบ Out-Out Trading ซึ่งเป็นการจัดซื้อและจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศโดยไม่นำเข้าประเทศไทยในสัดส่วน 50%
กลุ่มธุรกิจการตลาด ปัจจุบันแบรนด์บางจากฯ มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับ 2 และมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 สามารถทำส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 16 % และมีสถิติสูงสุดอยู่ที่ 16.5% ในเดือนกันยายน และได้ก้าวขึ้นมาเป็นลำดับที่ 1 ในใจของผู้ใช้บริการจากดัชนีวัดความพึงพอใจของลูกค้าตามผลประเมิน NetPromoter Score (NPS) ในปีนี้ โดยบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้เติบโตสูงกว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยของประเทศหรือสูงขึ้นถึง 18% ในปี 2567 และพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่อตอบโจทย์และครองใจผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
พร้อมทั้งในปี 2563 จะลงทุนในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันอีก 2 พันล้านบาท ในการปรับปรุงโฉมของสถานีบริการ และการขยายสถานีบริการเพิ่มมอีก 60 แห่ง จากสิ้นปีนี้ มีสถานีบริการน้ำมันอยู่ที่ 1,200 แห่ง และพัฒนาต่อยอดและขยายสาขาร้านกาแฟอินทนิลรูปแบบใหม่ “Inthanin the Grocer” เพิ่มเป็น 860 สาขา พร้อมการขยายฐานผู้แทนจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในการขยายจุดชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า EV Charger ในสถานีบริการน้ำมันบางจากไม่น้อยกว่า 62 สาขาทั่วประเทศ ภายในปี 2564 และสร้างรูปแบบธุรกิจแบบใหม่เปลี่ยนจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์เป็นการนำเสนอบริการ
กลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้า โดยบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ต้นปี 2562 บริษัทฯได้มีการพัฒนาธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับบริษัทชั้นนำสร้างนวัตกรรมทางพลังงานใหม่ๆ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันยังคงสร้างความเติบโตในธุรกิจหลักของบริษัทฯ ด้วยการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ถือว่าเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแห่งแรกของบริษัทฯ ทำให้ปัจจุบัน บริษัทฯมีกำลังการผลิตตามสัญญาทั้งหมดจำนวน 403.5 เมกะวัตต์ มีธุรกิจครอบคลุม 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ประกอบด้วย 4 เทคโนโลยี ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ และพลังน้ำ จากนี้ไป บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจ ตั้งเป้า EBITDA เติบโตเฉลี่ย 15% สำหรับ 5 ปี ข้างหน้า (2563-2567) โดยใช้กลยุทธ์ 4Es ในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนขององค์กร ได้แก่ มุ่งเน้นการเติบโตในธุรกิจหลักของบริษัทฯ ด้วยการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่โดยวิธีการพัฒนาโครงการตั้งแต่แรกเริ่ม และการเข้าซื้อกิจการโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว ขยายธุรกิจเพื่อรองรับทิศทางของธุรกิจพลังงานในอนาคต โดยการรุกข้าสู่ธุรกิจใหม่แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก อาทิ Digital energy, Energy storage, LNG to Power เป็นต้น และการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ โดยบริษัท บีบีจีไอ (จำกัด) มหาชนได้มีการขยายกำลังการผลิตเอทานอล จากโรงงานที่อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี จาก 200,000 ลิตรต่อวัน เป็น 300,000 ลิตรต่อวัน และขยายกำลังการผลิตไบโอดีเซลจาก 930,000 ลิตรต่อวันเป็น 1,000,000 ลิตรต่อวัน รวมทั้งมีโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและดำเนินโครงการก่อสร้างโรงกลั่นกลีเซอรีนให้บริสุทธิ์ถือเป็นธุรกิจและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่มีความพร้อมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง ทั้งด้านไบโอพลาสติก วัสดุชีวภาพ ฯลฯ
นอกจากนี้ยังเตรียมพร้อมในการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ B100 เพิ่มขึ้นตามนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซล (B100) ทั้งน้ำมันดีเซล B20 และ B10 เพื่อรองรับความต้องการใช้ในอนาคตตลอดจนหาโอกาสขยายการลงทุนเพิ่มในธุรกิจพลังงานชีวภาพผ่านการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2563 เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทฯในฐานะผู้นำเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศ
พร้อมกันนี้ ยังได้ประกาศจัดตั้ง SynBio Academy ร่วมกับพันธมิตรในภาครัฐและเอกชนจากทั้งในและต่างประเทศ สนับสนุนการพัฒนาธุรกิจชีวนวัตกรรมในประเทศไทยผ่านการอบรม การจัดประชุมการให้ข้อมูล ฯลฯ ในรูปแบบต่างๆ
กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ บางจากฯ เตรียมพร้อมสำหรับการรองรับอนาคตที่ไฟฟ้าจะกลายเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของโลก ส่งผลให้แบตเตอรี่มีบทบาทสำคัญ ด้วยการถือหุ้นเป็นอันดับ 2 ใน Lithium Americas Corp. ธุรกิจต้นน้ำของธุรกิจแบตเตอรี่ ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตแร่ลิเทียมในเฟสที่ 1 เพิ่มขึ้นจาก 25,000 ตันต่อปี เป็น 40,000 ตันต่อปี รวมทั้งได้รับสิทธิ์ในการรับผลิตภัณฑ์จากแผนการจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ในปี 2564ไปจำหน่ายเป็นจำนวน 6,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่ได้รับสิทธิ์ จำนวน 2,500 ตันต่อปี ซึ่งปริมาณแร่ลิเทียมดังกล่าว เพียงพอสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 120,000 คัน
นอกจากนี้ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมผ่านบริษัท OKEA ที่นอร์เวย์ มีแหล่งน้ำมันดิบ Yme และ Grevling ในทะเลเหนือที่จะเริ่มเปิดดำเนินการเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้มีกำลังผลิตจากแหล่งน้ำมันดิบ 5 แหล่ง รวม 20 kboepd และบริษัทฯ จะยังคงแสวงหาแหล่งน้ำมันดิบและพลังงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
สำหรับสถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ หรือ BiiC เน้นการเสาะหาการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพและกิจกรรมงานวิจัยพัฒนาร่วมกับหน่วยงานภายนอก เพื่อใช้นวัตกรรมต่อยอดขยายธุรกิจพลังงานสีเขียวและธุรกิจด้านชีวภาพทั้งในและนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 ได้ลงทุนในธุรกิจชีวภาพ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ และธุรกิจพลังงานสะอาด 9 ล้านเหรียญ โดยได้ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพด้านพลังงานของไทยด้วย