หลายคนยังตื่นตระหนกไม่หายกับกฎหมายภาษีที่ดินฯ ตัวใหม่ หรือชื่อเต็มๆ ว่า พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่เพิ่งคลอดใหม่สดๆ ร้อนๆ และเตรียมจะประกาศใช้ในช่วงต้นปี 2563 นี้
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นการ “อัพเกรด” ภาษีตัวเดิมที่กระทรวงการมหาดไทยและหน่วยงานในสังกัด (องค์การบริหารปกครองส่วนท้องถิ่น : อปท.) เคยจัดเก็บตามกฎหมายภาษีบำรุงท้องที่ และภาษีโรงเรือนและที่ดิน อยู่ก่อนแล้ว
เมื่อมีการออกกฎหมายภาษีที่ดินฯ ตัวใหม่ จำเป็นอยู่เองที่รัฐจะต้องยกเลิกภาษีตัวเก่ากันไป
ประเด็นคือ ไอ้เจ้าภาษีตัวใหม่นี้ กระทบใครบ้าง? ครอบคลุมสินทรัพย์ตัวไหม? ที่สำคัญ...มูลค่าภาษีที่เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะต้องจ่ายให้รัฐนั้น แพงกว่าเดิมหรือไม่? อย่างไร?
เรื่องนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” มีคำตอบ!!!
แต่ก่อนจะไปถึงคำตอบตรงนั้น “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ขอย้อนไปดูถึงแนวคิดดั้งเดิมที่ภาครัฐเคยวาดฝันถึงภาพใหญ่ของกลุ่มภาษีประเภทนี้ ที่ต้องบอกว่าเป็น “กลุ่มภาษี” เพราะข้อเท็จจริงแล้ว รัฐบาลหลายชุดในอดีตเคยคิดถึงภาพใหญ่ของเรื่องนี้ และไม่ได้มองแค่ภาษีที่ดินฯ หากยังคิดไปไกลถึงการจัดเก็บภาษีมรดกฯด้วยซ้ำไป
คำตอบเรื่องภาษีที่ดินฯ ยังไม่มีให้ แถม “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ยังหยิบยกเรื่องภาษีมรดกฯ มาเขย่าขวัญกันอีก!!!
ที่ต้องหยิบเรื่องนี้ มาพูดเอาไว้ก่อน เพราะไม่แน่ว่า...อนาคตอันใกล้อาจมีภาษีตัวนี้ มาหลอกหลอนเศรษฐีชาวไทย ตราบใดที่รัฐบาล...ยังบ่อท่า หาเงินไม่เป็น แต่ใช้จ่ายมือเติบ จำเป็นอยู่เองจะต้องพึ่งพารายได้จากภาษี เพราะเป็นสิ่งเดียวที่รัฐบาล สามารถ “มัดมือชก” ได้ง่ายที่สุด
สำหรับภาษีมรกดฯ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การจัดเก็บภาษีจากการรับมรกดตกทอดกันมา เคยมีการศึกษาเอาไว้ทำนอง หากต้องทำการจัดเก็บ จะกำหนดอัตราการจัดเก็บสูงสุดถึง 10% สำหรับส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท
และมรดกที่ว่า...ครอบคลุมทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ หลักทรัพย์ เงินฝาก ยานพาหนะ ทรัพย์สินทางการเงินที่อาจมีประกาศเพิ่มเติมตามมา แต่ทั้งหมดจะต้องอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
แต่เพราะภาษีตัวนี้ ดันไปสัมพันธ์กับครอบครัวของคนที่มีอันจะกิน และมีเงินมากกว่า 100 ล้านบาทขึ้นไป สิ่งนี้...จึงเกิดขึ้นได้ช้ากว่าภาษีที่ดินฯ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่คนฐานราก ที่อาจจนเงินแต่มีที่ดินหลายแปลงและหลายไร่
อย่าลืมว่า...ครอบครัวของคนที่มีเงินมากกว่า 100 ล้านบาท ส่วนใหญ่ก็คือ คนออกและยกมือ “ผ่านหรือไม่ผ่าน” กฎหมายตัวนี้ รวมถึง...ข้าราชการระดับสูง นักการเมือง นักธุรกิจ และนายทุนพรรคการเมือง ฯลฯ ประสาอะไรที่พวกเขาจะไปเร่งรัดภาษีมรดกฯ ยกเว้น! รัฐบาลถังแตก! จริงๆ ก็อาจจะได้เห็นเจ้าภาษีตัวนี้ ออกมาเขย่าขวัญสั่นประสาท
“สำนักข่าวเนตรทิพย์” พูดได้เต็มปากว่า “ยังอีกนาน” แต่ที่ต้องหยิบภาษีมรดกฯ มาพูดถึง ก็เพียงแค่อยากให้คนไทยได้เห็นภาพว่า “ใครคือคนที่ต้องจัดการก่อน และใครที่จะต้องยื้อการจัดเก็บภาษีออกไป”
กลับเข้าสู่โหมดภาษีที่ดินฯ อย่างที่เกริ่นตั้งแต่ต้นว่า...มันคือการ “อัพเกรด” ภาษีตัวเดิม คือ 1. บำรุงท้องที่ และ 2. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน แต่เพราะคนไทย...ไม่ค่อยทำการบ้าน และชอบหลงลืมเรื่องเก่า เลยเกิดอาการตกใจกับการประกาศใช้กฎหมายตัวใหม่นี้
ก่อนหน้านี้ มีคนพูดเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุด ก็คือ “ปลัดกระทรวงการคลัง” นายประสงค์ พูนธเนศ!
เขาย้ำถึงสาระสำคัญของสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา หลังวันที่ 1 มกราคม 2563 ได้อย่างชัดเจน แต่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ขอย่อยและสรุปให้กระชับอีกครั้ง ดังนี้...
กฎหมายภาษีที่ดินฯ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2562 แต่บังคับใช้จริงตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป แทนการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ และภาษีโรงเรือนและที่ดินที่ถูกยกเลิกไป โดยผู้เสียภาษี ได้แก่ ผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างทุกคน
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศขยายระยะเวลาการดำเนินการให้แก่เจ้าหน้าที่ฯที่ต้องตามปฏิบัติงานขั้นตอนจัดเก็บภาษี เพื่อให้มีเวลาทำงานมากขึ้นในปีแรก เช่น เลื่อนการแจ้งประเมินภาษี จากเดือนกุมภาพันธ์ เป็นภายในเดือน มิถุนายน และเลื่อนกำหนดเวลาการชำระภาษีจากเดือนเมษายน เป็นสิงหาคมเป็นต้น
การเก็บภาษีจากเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ถือครอง โดยอัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจะดูจากการใช้ประโยชน์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ประกอบด้วยอัตราภาษี 4 ประเภท ได้แก่ 1) เกษตรกรรม 2) อยู่อาศัย 3) อื่นๆ ที่ไม่ใช่เกษตรกรรมและอยู่อาศัย และ 4) รกร้างว่างเปล่า
โดยผู้เสียภาษีจะต้องเสียภาษีทุกปี และต้องชำระภายในเดือนเมษายนของปีนั้นๆ เช่นเดียวกับการชำระภาษีบำรุงท้องที่ และภาษีโรงเรือนและที่ดิน ซึ่งถูกยกเลิกไป (ยกเว้นปี 2563 สามารถชำระภาษีได้ถึงเดือนสิงหาคม) ซึ่งการหามูลค่าของที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมทั้งห้องชุด ให้นำราคาประเมินทุนทรัพย์ (ราคาประเมินฯ) ของกรมธนารักษ์มาใช้คำนวณ และสำหรับปี 2563 นี้ให้นำบัญชีราคาประเมินฯ ปี 2559 - 2562 มาใช้
สำหรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาษีที่ดินฯ “ปลัดกระทรวงการคลัง” พูดชัด...
ประเด็นแรก การประกอบเกษตรกรรม มีการบรรเทาภาระภาษีให้แก่เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่ใช้ทำประโยชน์เกษตรกรรม จะได้รับยกเว้นภาษีในปี 2563-2565 และตั้งแต่ปี 2566 จะได้รับการยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีในแต่ละ อปท. รวมกันไม่เกิน 50 ล้านบาท
ประเด็นที่สอง สำหรับที่อยู่อาศัย มีการบรรเทาภาระภาษีสำหรับบ้านหลังหลัก 1 หลัง ซึ่งบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่อในทะเบียนบ้านดังกล่าวในวันที่ 1 มกราคม ดังนี้ 1) กรณีมีชื่อเป็นเจ้าของทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือห้องชุด จะได้รับยกเว้นภาษีสำหรับมูลค่าที่ไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือ 2) กรณีมีชื่อเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างอย่างเดียว (ปลูกสร้างบนที่ดินบุคคลอื่น) จะได้รับยกเว้นภาษีสำหรับสิ่งปลูกสร้างที่มูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท แล้วแต่กรณี สำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่บุคคลธรรมดามีชื่อเป็นเจ้าของ แต่ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านและไม่ได้นำไปให้เช่า จะถือเป็นบ้านหลังอื่น ซึ่งต้องเสียภาษีตามปกติ
โดยในส่วนของการบรรเทาภาระภาษี ผู้ที่เคยเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินหรือภาษีบำรุงท้องที่ และต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นจากเดิมเนื่องจากกฎหมายนี้ จะได้บรรเทาภาระภาษีของส่วนต่างเมื่อเทียบกับภาษีที่เคยเสียในปี 2562 ดังนี้
ปีที่ 1: ภาษีเดิมปี 2562 + 25% ของส่วนต่าง, ปีที่ 2: ภาษีเดิมปี 2562 + 50% ของส่วนต่าง และปีที่ 3: ภาษีเดิมปี 2562 + 75% ของส่วนต่าง ทั้งนี้ ขั้นตอนที่ผู้เสียภาษีควรให้สำคัญเกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มี 3 ขั้นตอน ดังนี้
1) ตรวจสอบบัญชีรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างว่า มีการระบุประเภท ขนาด และลักษณะการใช้ประโยชน์ว่าถูกต้องหรือไม่ หากผู้เสียภาษีพบว่า บัญชีรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของตนเองไม่ถูกต้อง สามารถยื่นคำร้องต่อผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขอแก้ไขให้ถูกต้องได้
2) ตรวจสอบแบบประเมินภาษีที่ อปท. แจ้งประเมินภาษีแก่ผู้เสียภาษี โดยผู้เสียภาษีจะต้องตรวจสอบการประเมินภาษีดังกล่าวว่า ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์และอัตราภาษีตรงตามมูลค่าและการใช้ประโยชน์หรือไม่ รวมถึงการคำนวณภาษีว่าถูกต้องหรือไม่ หากผู้เสียภาษีพบว่า การประเมินภาษีไม่ถูกต้อง สามารถยื่นเรื่องคัดค้านและอุทธรณ์ตามกระบวนการต่อไป
3) ชำระภาษีภายในเวลาที่กำหนด โดยกระทรวงมหาดไทยประกาศขยายเวลาในการชำระภาษี ให้สามารถชำระได้ภายในเดือน ส.ค.2563 เพื่อจะไม่ต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม รวมไปถึงอาจถูกระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ยังคงมีภาระภาษีค้างชำระอยู่
คราวนี้ ลองไปฟัง “โฆษกกระทรวงการคลัง” อย่าง...นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ขยายความได้ชัดเจนมาอีกระดับ เขาย้ำว่า...การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะไม่เป็นการเพิ่มภาระภาษีให้กับเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมากนัก แม้จะมีบางรายที่อาจเสียภาษีเพิ่มขึ้น แต่ก็มีหลายรายที่จะเสียภาษีถูกลง เมื่อเทียบกับการจัดเก็บภาษีแบบเดิม
แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้น คือ ภาษีใหม่จะลดปัญหาการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ที่อาจทำให้การจัดเก็บภาษีเกิดความผิดพลาดตามมาได้ ที่สำคัญระบบภาษีใหม่จะมีเกณฑ์มาตรฐานและมีเงื่อนไขที่ช่วยลดภาระรายจ่ายให้กับเจ้าของทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้น การลดหย่อน และการบรรเทา ในช่วง 2 ปีแรก รวมถึงการยังกลุ่มคนที่อยู่นอกระบบภาษีให้กลับเข้ามาอยู่ในระบบภาษีได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ อัตราภาษีใหม่จะใช้หลักสัดส่วนการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นส่วนของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง เช่น หากมีการนำบ้านพักอาศัยหลังที่ 2 ไปให้เช่าต่อ เจ้าของทรัพย์จะต้องเสียภาษีในทุกๆ 1 ล้านบาทที่ 3,000 บาท แต่หากมีเพื่อการอยู่อาศัย แม้จะไม่ได้อยู่ประจำเป็นเพียงอยู่อาศัยเป็นครั้งคราว และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีการนำไปให้เช่าจริง จะเสียภาษีเพียง 1 ล้านละ 200 บาทเท่านั้น
สำหรับการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ และภาษีโรงเรือนและที่ดินของกระทรวงมหาดไทยในแต่ละปี จะมีประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งการนำระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาใช้ทดแทนนั้น กระทรวงการคลังเชื่อว่า น่าจะทำให้ฐานทรัพย์สินจากการจัดเก็บภาษีแบบเดิม เมื่อมาอยู่ในระบบภาษีใหม่ ทำให้การจัดเก็บภาษีใหม่ มีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
เพียงแต่อาจมีส่วนรายได้ภาษีที่มีเพิ่มเติม ก็คือ การจัดเก็บภาษีจากกลุ่มเจ้าของทรัพย์สินที่ไม่เคยอยู่ในระบบภาษี หรือได้รับประโยชน์จากการใช้ดุลพินิจมาก่อน
อย่างไรก็ดี ไม่เพียงที่รัฐบาลจะต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนถึงสิ่งที่จะได้รับ หากยังควรบอกถึงกรอบการจัดเก็บและนำภาษีไปใช้ว่า...เป็นไปเพื่อการใดบ้าง? ที่สำคัญ ประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างไรกับแนวทางข้างต้น!
สำหรับคนที่อยู่ขอบข่ายจะได้รับผลกระทบจากภาษีที่ดินฯ จำเป็นอยู่เองที่จะต้องศึกษาหาความรู้และทำความเข้าใจอย่างเร่งด่วน! อะไรที่ภาครัฐ...ผ่อนปรน อนุโลม หรือยืด/ขยายเวลา ต้องนำเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างที่สุด
อย่าลืมว่า...ในยุคของรัฐบาลชุดนี้ เริ่มเข้าสู่ภาวะ “ภาษีอาน” กันถ้วนหน้าแล้ว!!!