จัดไปเบาะๆ หุ้นไทยหลังหย่อนบัตรเลือกตั้ง ปูพรมแดง หรือปรับตัวลงติดลบ 20 จุด ในวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา ต้อนรับรอการฟอร์มทีมรัฐบาล หลังผลการเลือกตั้งที่ออกมาทำให้ภาพชัดเจนขึ้น นั่นก็คือ เหลือเพียง 2 ขั้วการเมืองที่มีโอกาสเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล คือ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย แต่ที่อาจจะยังสร้างความกังวลให้ตลาด คือทั้งสองพรรคใหญ่มีคะแนนเสียงที่ใกล้กัน
นักวิเคราะห์มองว่า หากพิจารณาในเรื่องนโยบายของแต่ละพรรค พบว่า นโยบายมีความใกล้เคียงกัน ซึ่งนโยบายส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน รวมไปถึงการเดินหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
“เมื่อมองภาพใหญ่แล้ว ไม่ว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลก็ไม่น่ามีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจให้ปรับเพิ่มขึ้นแรงมากหรือตกต่ำมากแต่อย่างใด อีกทั้ง เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเปิดที่ 70% ของจีดีพี อิงกับภาคต่างประเทศ คือการท่องเที่ยวและการส่งออก ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเข้ามาบริหารประเทศในปีนี้เศรษฐกิจไทยก็ไม่น่าจะขยายตัวเกิน 4%” เป็นความเห็นของ “ไพบูลย์ นลินทรางกูร “ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ ทั้งยังสวมหมวกอีกใบคือ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย
ด้านท่าทีของนักลงทุนต่างชาติเอง ไม่ค่อยสนใจว่ารัฐบาลจะมาจากพรรคไหน แต่จะให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็น คือ รัฐบาลมีเสถียรภาพหรือไม่ นโยบายเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร รัฐมนตรีเศรษฐกิจมีคุณภาพขนาดไหน และความต่อเนื่องของนโยบายขนาดใหญ่ เช่น โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถ้าตอบโจทย์ในเชิงบวกได้ทั้งหมด เงินทุนต่างชาติก็จะไหลเข้าอย่างเต็มที่ อีกทั้งปัจจุบันอัตราการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศยังอยู่ในระดับต่ำด้วย
สำหรับหุ้นไทยจากนี้ นักวิเคราะห์ ประเมินว่ายังลงทุนได้เนื่องจากราคายังไม่แพง และมองว่ายังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะเศรษฐกิจยังเติบโตต่อได้และแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคเอกชน โครงการขนาดใหญ่ของรัฐยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ เช่น ธนาคารพาณิชย์ที่จะได้อานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคงเป้าหุ้นไทยเหมือนเดิม โดยบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ ให้เป้าสิ้นปี 2562 ไว้ที่ 1,750-1,800 จุด ยังมองว่าหุ้นทั่วโลกในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นจากแรงกดดันด้านอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มหายไป เพราะธนาคารกลางต่างๆ เริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัวได้
เช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ที่ยังคงเป้าหุ้นไทยสิ้นปีนี้ไว้ที่ 1,670 จุด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ เองก็ยังคาดว่าในอีก 12 เดือนข้างหน้าจะได้เห็นหุ้นไทยปรับขึ้นสูงสุด 2,000 จุด
นักลงทุนอย่ามองแต่ข่าวเรื่องการเมือง มามองข้ามชอตสั้นๆ ไปวันที่ 29 มีนาคม นี้ ที่มอร์แกน สแตนเลย์ เจ้าของดัชนีเอ็มเอสซีไอ (MSCI) ซึ่งนักลงทุนสถาบันทั่วโลกใช้เป็นดัชนีอ้างอิงในการลงทุน ก็ได้ประกาศเกณฑ์น้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย ที่จะอนุมัติให้รวม NVDR ไว้ในน้ำหนักการลงทุน ซึ่งจะทำให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มขึ้นโดย
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าหุ้นไทย ประมาณ 3-3.5 หมื่นล้านบาท และมีหุ้นที่คาดว่าจะถูกรวมเข้าคานวณเพิ่มอาทิ INTUCH DTAC RATCH และ CENTEL
โดย ซิลลิ่ง