พลิกจาก “วิกฤติ” เป็น “วิกฤติกว่า”...สำหรับชีวิตคนไทยยุคนี้ เรียกว่า...ซวยซ้ำ ซวยซ้อน กันเลยทีเดียว!
ปกติบ้านเมืองไทย…ก็ผจญกับสารพัดฝุ่นละลองจากโครงการก่อสร้างต่างๆ ทั้งการตัดถนนหนทาง การก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้า การก่อสร้างอาคารสำนักงานและที่พักอาศัย และอื่นๆ อีกมากมาย ในแบบที่ผู้รับผิดชอบโครงการฯ ไม่จำเป็นต้องแสดงภาวะ “สำนึกรับผิดชอบ” ต่อสังคมส่วนรวมสักเท่าใด
ฝุ่นละอองจากการก่อสร้างฯ ถือว่ามีมากมายก่ายกองอยู่แล้ว ยังจะมี...บรรดาพี่สิงห์รถบรรทุก และโชเฟอร์รถเมล์ “ตีนผี” ร่วมด้วยช่วยกัน ปล่อยทั้งฝุ่นและเขม่าควันดำ มาผสมโรงเข้าไปอีก
แล้วยิ่งเข้าใกล้ยุค “ภัยแล้ง” ขั้นรุนแรง! โอกาสที่ฝุ่นละออง โดยเฉพาะ “เจ้าตัวเล็ก” PM2.5 (Particulate Matters) ภัยเงียบ...ที่สร้างภาวะอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพของไทย จะได้ถือโอกาส “ทะลวงโพรงจมูก” เข้าไปสะสมในร่างกายคนไทย กระทั่งทำลายล้างอวัยวะภายใน ที่ไม่สามารถจะปกป้องตัวเองได้ ก็ยิ่งมีสูง!
สำทับด้วยสถานการณ์ “เศรษฐกิจถดถอยขั้นรุนแรง” กระทั่งโรงงานปิดตัว พนักงานถูกเลิกจ้าง ผู้คนพากันตกงาน และต้องว่างงานกันอีกมากมาย...มีผู้คนจำนวนมาก กำลัง “เดินเตะฝุ่น” แปลงสภาพบรรยากาศในประเทศ กลายเป็นภาวะ “ฝุ่นตลบอบอวล” คละคลุ้งให้หนักข้อยิ่งๆ ขึ้นไปอีก พ่วงกับภาวะ “แต่งตั้งโยกย้ายกลางปี” ของบรรดานายทหารและนายตำรวจ อาการวิ่งกัน “ฝุ่นตลบ” ก็สำแดงฤทธิ์ให้ได้เห็นมากขึ้น
ทั้งอาการ “เตะฝุ่น” ของแรงงานไทย และการ “วิ่งเต้นจนฝุ่นตลบ” ของประดา “คนมีสี” ที่เพิ่มดีกรีให้คนไทยต้องแบกรับภาวะความเสี่ยงจาก “สารพัดฝุ่น”
เมื่อมาเจอ “ของหนักกว่า” อย่าง “ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ 2019” (2019 – nCov) หรือที่คนทั่วโลกเรียกขานกันว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” เพราะมีต้นตอมาจาก...อู่ฮั่น “เมืองหลวง” แห่งมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ก่อนจะแพร่ระบาดออกจากเมืองอู่ฮั่น ไปสู่เมืองและมณฑลต่างๆ ของจีน รวมถึงหลายประเทศในโลกใบนี้ เนื่องเพราะมีการตรวจพบการติดเชื้อของคนจีน โดยเฉพาะจากเมืองอู่ฮั่น ไปแล้วนับร้อยคน ในหลายทวีป และหลายประเทศทั่วโลก ทั้ง...อเมริกา ยุโรป เอเชีย และอาเซียน รวมถึงประเทศไทย
ล่าสุด พบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีน ติดเชื้อ “ไวรัสอู่ฮั่น” เดินทางเข้าประเทศไทย และถูกอายัดตัวไปหลายราย โชคดีที่ประเทศไทย...รัฐบาลไทย...หน่วยงานทางการแพทย์ และคณะแพทย์-พยาบาลไทย เคยมีประสบการณ์กับเจ้า “ไวรัสโคโรน่า” สายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้มาก่อน
ไม่ว่าจะเป็น...โรคซาร์ส (SARS-CoV) หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2545-2546 ซึ่งทำให้คนทั่วโลก กว่า 30 ประเทศประเทศ ติดเชื้อตัวนี้กว่า 2,500 คน และมีผู้เสียชีวิตรวมกันเฉียดๆ 1,000 คน แล้วส่วนใหญ่ดันไปเกิดกับคนจีนและชาวฮ่องกง ที่มีพฤติกรรม “เปิบพิสดาร” จากสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่คนไปไม่นิยมกินกัน
รวมถึงโรคเมอร์ส (SARS-CoV) ที่เคยเกิดขึ้นหลังจากโรคซาร์สผ่านไป 10 ปี หรือเมื่อปี 2555 ซึ่งทั้งตัวเลขผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิต ก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกับโรคซาร์สนั่นแหละ
ถึงวันนี้...ตอนนี้ แม้ทางการจีนจะประกาศให้คนทั่วโลก ได้รับรู้ทั่วกันว่า “รัฐบาลจีนเอาอยู่” สามารถจะรักษาอาการติดเชื้อ “ไวรัสอู่ฮั่น” ได้อยู่หมัด จนลดอาการ “ผู้ติดเชื้อ” เป็นจำนวนมาก
ทางการจีนจะพูดอย่างไรก็ช่าง! แต่คนทั่วโลกไม่เชื่อ และคนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อ ต้องแนะให้ป้องกันตัวเองและครอบครัวก่อน
ยกเว้น! รัฐบาลไทยยุคนี้ ที่ประกาศสวนทางกับรัฐบาลอื่นๆ ทั่วโลก? ทำนอง...พร้อมอ้าแขนรับ “นักท่องเที่ยวจีน” แม้ว่า...ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะประกาศห้ามคนจีนเดินทางออกนอกประเทศไปแล้วก็ตาม
รอบนี้...ดูเหมือนว่าจะสาหัส! ยิ่งกว่าตัวเลขข้อมูลที่ทางการจีนระบุว่า มีผู้ติดเชื้อไม่กี่พันคน และมีผู้เสียชีวิตไม่มากนัก
แต่จากคลิปภาพบรรยากาศเมืองอู่ฮั่นและเมืองใกล้เคียง ที่นำมาเผยแพร่อยู่โลกโซเชียล จะเห็นชัดว่า...เมืองอู่ฮั่น เหมือนตกอยู่ในสภาพ “เมืองร้าง” กระทั่งบางคนระบุว่า เป็น “ซอมบี้แลนด์” ด้วยซ้ำไป แถมคนจีนในประเทศจีน ยังบอกกับสื่อไทย ผ่านล่ามอีกว่า...ตัวเลข “ผู้ติดเชื้อ” จริงๆ น่าจะมากกว่าที่เป็นข่าว
สถานการณ์นี้ คนทั่วโลก...ไม่เชื่อรัฐบาลจีน และไม่เชื่อ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เหมือนเช่นที่คนจีน เชื่อในตัว “ผู้นำ” ของพวกเขา แต่ท่ามกลางที่รัฐบาลและผู้คนจากทั่วโลก “ปิดกั้น” ไม่ต้อนรับและไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวจีน เดินทางเข้ามายังประเทศของตัวเองนั้น
ที่...ประเทศไทย รัฐบาลไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน พากัน “ตบเท้า...เข้าแถว” คอยให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน...กันออกนอกหน้า? ทำเอานักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งจากยุโรป อเมริกา และหลายชาติในเอเชีย และเพื่อนบ้านอาเซียน ต่างก็รังเกียจและพยายามเปลี่ยน “เป้าหมายปลายทาง” จากประเทศไทย ไปเป็นชาติในอาเซียนแทน
ทางการไทยคิดอะไร? ยังไง? ยากที่คนไทยและชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย จะเข้าใจได้? หรือเพราะว่า “เชื่อมั่น” ว่า...บรรดาแพทย์ไทย อุปกรณ์และเทคโนโลยี รวมถึงประสบการณ์ที่ทางการไทยเคยผ่านเรื่องหนักๆ มาแล้ว ทั้งโรคไข้หวัดนก, โรคซาร์ส, โรคเมอร์ส และอีกหลายๆ โรคร้าย แต่สุดท้ายก็ “เอาอยู่”
ต่อให้ทางการไทย “เชื่อมั่น” และ “มั่นใจ” ว่า “เอาอยู่” กระนั้น รัฐบาลไทยก็ควรแจกจ่าย “แมส” หรือหน้ากากปิดหน้า/จมูก ที่มีคุณสมบัติป้องกันสารพัด ทั้งฝุ่นละออง PM 2.5 และ “ไวรัสอู่ฮั่น” แทนการให้คนไทย...ไปหาซื้อกันเอง ด้วยข้ออ้างที่ว่า “รัฐบาลไม่มีเงินมากพอ”
แค่ตัดหรือลดทอน “งบจัดซื้ออาวุธ” สัก 1-2 หมื่นล้านบาท แล้วเอาเงินมาซื้อ “แมส” แจกจ่ายคนไทย แค่นี้..ก็เบาใจได้ หากรจะต้องผจญกับฝุ่นทั่วไป ฝุ่น PM 2.5 และ “ไวรัสอู่ฮั่น” เพราะใส่ “แมส” ครั้งเดียว “เอาอยู่ทุกฝุ่นและทุกโรค”
การใจจืดใจดำกับคนไทย ก็ระวัง! ให้ดีแล้วกัน เพราะหากโรค “พ.ร.ก.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท” แพร่ระบาดมาถึงรัฐบาลชุดนี้ เพียงเพราะเหตุ “ส.ส.ลงคะแนนเสียง (เสียบบัตร) แทนกัน” ระหว่างโหวตรับรอง ร่าง พ.ร.บ.เงินงบประมาณฯ ปี 2563 ซึ่งถือว่าขัดกับเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญปัจจุบัน แถมยังเคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2557 ด้วยการชี้ชัดว่า “ร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท” เป็น “โมฆะ” เพราะไม่ชอบด้วยรัฐบาล...มาก่อนแล้ว
อย่าว่า...งบประมาณฯปี 2563 จะล่าช้ากว่ากำหนดเดิม ที่ก็ล่าช้าอยู่แล้วเลย ไม่แน่ว่า...ชะตากรรมของรัฐบาลชุดนี้ ยังจะได้สิทธิบริหารราชการแผ่นดินหรือไม่? แถมต้อง “ลุ้นกันใจหายใจคว่ำ” ว่า...จะตกสภาพเดียวกับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” หรือไม่?
แต่ที่แน่ๆ คนไทย เมื่อต้องผจญกับเรื่องร้ายๆ หลายเด้งพร้อมๆ กันนั้น ก็ยังมีเรื่องดีๆ ให้ได้ฟังและทำตามๆ กัน
นั่นคือ เจียดเงินไปหาซื้อ “แมสคุณภาพ” มาใช้กันได้เลย เพราะการเสียเงิน โดยไม่รอ “แบบมือขอจากรัฐบาลไทย” นั้น มันทำให้พวกเราปกป้องตัวเองไปและปลอดภัยจากไวรัสมรณะในคราวเดียวกันเลย!