นับเป็นอีกหนึ่งมิติใหม่ด้านการพัฒนาระบบรางของไทย โดยเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้องประชุมอาคารสโมสรกระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางราง (ขร.) และ กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้บูรณาการความร่วมมือกับพันธมิตรระบบรางภาครัฐ/สถาบันการศึกษา รวม 15 หน่วยงานภายใต้โครงการ “พันธมิตรระบบราง สร้างสรรค์อุตสาหกรรมระบบรางไทย”
รุกถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบราง
นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เพื่อสร้างสรรค์อุตสาหกรรมระบบรางไทย ครอบคลุมด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี วิจัยและพัฒนา มาตรฐานระบบราง อุตสาหกรรมระบบราง ทดสอบและการทดลอง พัฒนาทรัพยากรบุคคล หวังช่วยเสริมประสิทธิภาพระบบขนส่งทางรางและความปลอดภัยในการให้บริการเดินรถไฟ ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ระบบรางให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบรางของประเทศและมาตรฐานสากล ช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการทดสอบวิเคราะห์ด้านระบบราง สนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) ทดแทนการนำเข้า สนับสนุนการผลิตบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญวิจัยด้านระบบราง ตลอดจนวิจัยและพัฒนาแก้โจทย์ปัญหาด้านระบบรางของประเทศ สร้างความยั่งยืนให้ระบบรางของไทย
สำหรับการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม โดยมี ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. และ นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง 13 หน่วยงาน ประกอบด้วย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย, บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด, บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, กรมวิทยาศาสตร์บริการ, สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, มหาวิทยาลัยนเรศวร, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมลงนามอย่างเป็นทางการ
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงแนวคิดในครั้งนี้เกิดจากแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564) กำหนดเป้าหมายการพัฒนาระยะยาวให้มีความยั่งยืน และมั่นคง รวมทั้งการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และเสริมศักยภาพคนให้มีคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในขณะที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบคมนาคมขนส่งของไทยตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยระยะ 20 ปี เน้นการเชื่อมต่อการคมนาคมขนส่งทั้งในประเทศและในภูมิภาค เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทำให้อุตสาหกรรมรางในประเทศและในภูมิภาคขยายตัวอย่างรวดเร็ว ระบบรางของประเทศจะยั่งยืนได้นั้นต้องอาศัยรากฐานของอุตสาหกรรมรางในประเทศที่เข้มแข็ง ในขณะที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรางไทยยังมีน้อยรายและมีความสามารถในการแข่งขันในระดับต่ำ นโยบายส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางในประเทศ (local content) ในสัดส่วนที่เหมาะสมต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมรางในประเทศอย่างยั่งยืนจึงเป็นปัจจัยแรกเริ่มที่สำคัญต่อความมั่นคงของระบบรางไทยในอนาคต
เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย Thai First..
ประการสำคัญด้วยหลักการ Thai First คือ..”ไทยทำ ไทยใช้” คนไทยต้องได้รับประโยชน์ก่อน ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่จะทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม รวมถึงการใช้วัสดุทดแทนที่ผลิตจากยางพาราในโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อช่วยยกระดับราคายางพารา แก้ปัญหารายได้ของเกษตรกร เป็นต้น โดยจากรายงานการศึกษาแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมรางระยะที่ 2 พบว่า การใช้ local content ในประเทศในสัดส่วน 40% สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศได้มากกว่า 7,000 ล้านบาท การประกอบรถไฟขั้นสุดท้ายในประเทศสามารถทำให้ซื้อรถไฟในราคาถูกลงมากกว่า 2,800 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานมากกว่า 2,000 ล้านบาท และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ด้านระบบราง ในระยะยาว local content จะส่งผลอย่างสำคัญต่อการลดภาระประเทศในการพึ่งพาหรือนำเข้าเทคโนโลยีต่างชาติในช่วงเดินรถและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) ในระยะยาว ซึ่งภาระค่า O&M มักสูงกว่ามูลค่าการก่อสร้างเริ่มต้นหลายเท่าตัว เช่น การส่งเสริมการบำรุงรักษารถไฟได้เองในประเทศจะสามารถลดภาระจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศได้ไม่น้อยกว่า 1,700 ล้านบาทต่อปี เป็นต้น
ด้าน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ กล่าวถึงบทบาทของ อว. ว่า ให้ความสำคัญกับนโยบายสร้างคน สร้างองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรมด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์ประเทศ โดย อว. พร้อมนำองค์ความรู้สนับสนุนงานในอุตสาหกรรมรางไทยให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาเทคโนโลยีด้านระบบราง ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีต่างชาติ ดังนั้นการนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง จะเป็นการต่อยอดให้เกิดอุตสาหกรรมรางในประเทศไทยขึ้นได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้จำเป็นต้องเร่งผลักดันให้เกิดการผลิตชิ้นส่วนระบบราง หรือ local content ซึ่งให้สัมฤทธิ์ผลต้องอาศัยการร่วมทำงานแบบสอดประสานโดยมีเป้าหมายร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคเอกชน รวมทั้งประชาสังคมในชุมชนที่เกี่ยวข้องมีลักษณะแบบสี่ประสาน (Quadruple Helix) โดยอาศัยการประสานจุดแข็งของหน่วยงานแต่ละประเภท อาทิ องค์ความรู้ต่อยอดการวิจัยพัฒนา (research & development) และการพัฒนาทักษะกำลังคน (manpower skill) ของภาคการศึกษา ความพร้อมในการสนับสนุนทางโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพทางระบบราง (National Quality Infrastructure: NQI) และการแบ่งปันทรัพยากร (infrastructure sharing) ของหน่วยงานรัฐ พื้นฐานที่แข็งแกร่งและความพร้อมในการลงทุนและการผลิตของหน่วยเอกชน รวมถึงการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนของชุมชนในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและการใช้บริการรถไฟ
สอดคล้องกับที่ ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ที่ว่า จากความสำคัญดังกล่าวจึงร่วมกับกรมการขนส่งทางราง (ขร.) บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานรวมทั้งสิ้น 15 หน่วยงาน ร่วมแสดงพลังในการเป็นพันธมิตรสนับสนุนนโยบาย local content ระบบราง
โดยหน่วยงานภาครัฐร่วมกันส่งเสริมภาคเอกชนทั้งด้านมาตรฐาน ข้อบังคับ การทดสอบ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และส่งเสริมการผลิตบุคลากรสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมระบบราง ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการส่งเสริมการผลิต local content ระบบราง ผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือแบบ 4 ฝ่าย (Quadruple Helix) ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และประชาสังคม
โดยการร่วมมือกันของหน่วยงานภาครัฐในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือแบบ 4 ฝ่าย ในระยะต่อไป ขยายผลสร้างผลกระทบต่อเนื่องให้แก่อุตสาหกรรมรางในประเทศให้ก้าวไปสู่การเป็นฐานการผลิตรถไฟในภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงสามารถผลิตชิ้นส่วนระบบรางทดแทนลดการนำเข้ารถไฟได้ทุกระบบรวมทั้งเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงในอนาคต
ในความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีต่อการพัฒนาระบบการขนส่งทางรางของประเทศ โดยทั้ง 15 หน่วยงานมีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะร่วมมือทางวิชาการ จัดทำมาตรฐาน พัฒนาความสามารถห้องปฏิบัติการในประเทศ สนับสนุน ส่งเสริมผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ พัฒนาบุคลากร รวมไปถึงการพัฒนาด้านการวิจัย และสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาทางด้านระบบรางของประเทศ ผลักดันการพัฒนาทางด้านระบบรางของประเทศประสบความสำเร็จต่อไป
เช่นเดียวกับนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวว่าจากนโยบายรัฐบาล และนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ให้ความสำคัญกับระบบโครงสร้างพื้นฐานระบบรางดังกล่าว กรมการขนส่งทางราง ได้ขับเคลื่อนโดยสร้างความร่วมมือในการสร้างสรรค์อุตสาหกรรมระบบรางไทยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในวันนี้ โดยภายหลังจากนี้แนวทางดำเนินงานจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว ตลอดจนวางกรอบความร่วมมือในการพัฒนาและใช้วัสดุอุปกรณ์ ตั้งแต่งานซ่อม ไปสู่งานสร้าง เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถต่อยอด และขอรับความร่วมมือด้านการตรวจสอบคุณภาพของชิ้นส่วนวัสดุระบบราง และผู้วิจัย และสถาบันการศึกษา สามารถรับไปทดลอง ตรวจสอบคุณภาพ นำไปสู่การสร้างสรรค์ ค้นคว้า และวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่าจะมีส่วนลดต้นทุนอย่างแน่นอนซึ่งวัสดุหลายรายการสามารถผลิตในประเทศไทยได้แล้ว หากวว.เข้ามาตรวจสอบคุณภาพได้ตามมาตรฐานก็นำไปใช้งานได้ทันที แต่ช่วงแรกนี้คงจะไม่มีปริมาณมากมาย โดยนอกจากบีทีเอสแล้วยังมีสายสีเหลือง สายสีชมพู และสายสีทองจะต้องใช้วัสดุในประเทศอีกจำนวนมาก ประการสำคัญระบบอาณัติสัญญาณของบอมบาดิเยร์ก็มาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยแล้ว เช่นเดียวกับระบบสวิตซ์ของรถไฟฟ้าโมโนเรล อีกทั้งยังหารือกับผู้ผลิตให้มีการผลิตในประเทศอีกหลายรายการเพื่อสร้างงาน สร้างรายได้และสร้างองค์ความรู้ให้ประเทศไทยได้อีกทางหนึ่งด้วย
ปัจจุบันที่เห็นภาพชัดคือ ระบบซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ เดิมว่าจ้างซีเมนส์มาดำเนินการแต่ปัจจุบันช่างของบีทีเอสทำได้ทั้งหมดแล้ว ดำเนินการไปแล้วสองรอบ ขบวนรถที่ซื้อมาจากจีนก็ดำเนินการเองทั้งหมด ดังนั้นหากได้สถาบันการศึกษาต่างๆเข้ามาสนับสนุนการวิจัยซึ่งต้องมีงบประมาณไปดำเนินการต่อเนื่องนับเป็นสิ่งที่ดี
ด้าน ผศ.ดร.เทอดเกียรติ ลิมปิทีปราการ หัวหน้าศูนย์นวัตกรรมระบบราง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ให้ความเห็นว่า หน่วย ขร. ซึ่งกำกับนโยบายระบบรางจะเป็นตัวกลางในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ด้วยการเสนอให้ระบุรายละเอียดในร่างเอกสารประกวดราคาตลอดจนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการประมูลต่างๆของระบบราง โดยมีพันธมิตรทั้งหลายให้การสนับสนุนเป็นผู้ช่วยให้ รฟม. รฟท.หรือแอร์พอร์ตลิ้งค์ ประการสำคัญยังได้มีการศึกษาไว้แล้วว่าส่วนไหนที่สามารถนำไปดำเนินการได้เลย ดังนั้นการพัฒนาแต่ละสเต็ป แต่ละขั้นตอน อาทิ การพัฒนาบุคลากรระบบราง ขร.สามารถดำเนินการร่วมกับวว.ได้แล้ว ส่วนสภาอุตสาหกรรมคงเน้นไปทางด้านการร่วมมือกับผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ
บูรณาการร่วม 15 หน่วยงาน
สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “พันธมิตรระบบราง สร้างสรรค์อุตสาหกรรมระบบรางไทย” ระหว่าง กรมการขนส่งทางราง กับ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยและหน่วยงานอื่นๆ ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่มีความร่วมมือกันระหว่าง 2 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม กับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งมอบหมายให้หน่วยงานร่วมกันดำเนินงานทั้งหมด 15 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1 สมาคม คือ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ส่วน 3 หน่วยงานระดับกรม ได้แก่ กรมการขนส่งทางราง กรมวิทยาศาสตร์บริการ และ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 2 สถาบันวิจัย ได้แก่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 3 ผู้ใช้งาน ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ 6 สถาบันการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี