ดร. มานะ นิมิตมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้โพสต์เฟสบุ๊คในหัวข้อ “ถนนคดเคี้ยวกับ..การร่ำรวยอย่างผิดปรกติของบางกลุ่มทุน!”
โดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจ..นักศึกษาขอให้อธิบายว่า การที่นายทุนใหญ่ไม่กี่ตระกูลร่ำรวยขึ้นมากอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกี่ยวข้องกับ “คอร์รัปชัน” ได้อย่างไร
ผมยกสิ่งที่ทุกคนเห็นจนคุ้นตามาเปรียบเทียบว่า ทำไมการตัดถนนในชนบทจึงมักคดเคี้ยวไปมา ไม่เป็นเส้นตรง!! ที่เป็นเช่นนั้นเพราะกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้มีอันจะกินจะพยายามวิ่งเต้นให้ถนนตัดผ่านที่ดินของตัวเอง ทำให้ที่ดินสองข้างทางมีราคาสูงขึ้น ขณะที่บางคนรู้ข่าวภายในว่าจะมีโครงการตัดถนนผ่านตรงไหน ก็ไปกว้านซื้อที่ดินแถวนั้นดักไว้ก่อนที่ราคาจะพุ่งพรวด
แปลว่า โอกาสและความได้เปรียบย่อมเป็นของใครก็ตามที่มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายสาธารณะหรือนโยบายเศรษฐกิจของรัฐได้หรือแค่ล่วงรู้ทิศทางก่อนคนอื่นก็ตาม
กลับเข้ามาเรื่องคอร์รัปชัน ..
คนไทยได้ยินคำว่า “คอร์รัปชันนโยบาย” (Policy Corruption) มากขึ้น มันคือ การใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยมีเจตนาแอบแฝงในการกำหนดนโยบายวางกรอบทิศทางการลงทุนหรือดำเนินโครงการให้เป็นไปในทิศทางที่วางแผนไว้ แล้วมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปดำเนินการตามขั้นตอน ดังนั้นพฤติกรรมและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตนเองและพวกพ้องจึง “ถูกต้องตามขั้นตอน” ของกฎหมาย (Legalized)
ประเทศทั่วโลกต่างตกในสภาพเดียวกับไทยคือ มีการเพิ่มมากขึ้นของพฤติกรรมที่เรียกว่า “คอร์รัปชันอย่างถูกกฎหมาย” (Legal Corruption) โดยอาศัยการล๊อบบี้ ให้ใช้ช่องว่างของกฎหมายและการผลักดันนโยบายการค้า การลงทุน การดำเนินโครงการและการจัดสรรทรัพยากรของรัฐ อย่างไม่เป็นธรรม
โดยมีปัจจัยซ้ำเติมว่า ในสถานการณ์ที่ระบบการตรวจสอบถูกปิดกั้น ถูกแทรกแซงหรือคุกคามจนอ่อนแอ หากผู้กระทำผิดมีอำนาจเด็ดขาดมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งทำให้คอร์รัปชันที่พวกเขาลงมือแต่ละครั้งนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นและสร้างความเสียหายให้ประเทศรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ
ขบวนการที่ครอบงำรัฐ (State Capture) ได้ขนาดนี้เกิดขึ้นอย่างซับซ้อน เชื่อมโยงกัน การแก้ไขจึงต้องทำในหลายระดับ หลายมาตรการพร้อมกัน บางกรณีอาจต้องอาศัยความร่วมมือระดับนานาชาติด้วย
คอร์รัปชันอย่างถูกกฎหมาย อาจแบ่งเป็นสองลักษณะ คือ
1) พวกที่ใช้ช่องว่างของ “กฎหมายที่มีอยู่แล้ว” เรียกว่า คอร์รัปชันตามระบบ หรือ Systemic Corruption และ
2) พวกที่ใช้อำนาจหรืออิทธิพลไปแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบและนโยบาย หรือ “เขียนขึ้นมาใหม่” ให้สอดคล้องกับแผนการที่วางไว้ เรียกว่า คอร์รัปชันเชิงระบบ หรือ Systematic Corruption
อย่าลืมครับว่า.. ถนนที่คดเคี้ยว ย่อมมีอันตราย และเป็นต้นทุนสำหรับ “ทุกคน” ให้ต้องใช้เวลาเดินทางนานและสิ้นเปลืองมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูล:
ดร. มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)