ยังคงเป็นประเด็นสุดฮอต เป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์”
กับเรื่องของวิกฤติไวรัสสูบนรก "โควิด-19" ที่กำลังแพร่ขยายออกไปทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศยกระดับความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 เป็นระดับสูงสุดและถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่มวลมนุษยชาติจะต้องร่วมกับรับมือ
ขณะที่ประเทศไทยเรานั้น กระทรวงสาธารณสุขก็เพิ่งประกาศให้เขื้อไวรัสโควิด-19 เป็นโรคคิดต่อร้ายแรงลำดับที่ 14 ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ที่ให้อำนาจ สธ. กำหนดมาตรการเฝ้าระวัง และมาตรการในอันที่จะระงับยับยั้งการแพร่ขยายของเชื้อโรคดังกล่าวแบบครอบจักรวาล ถึงขนาดก้าวรุก อาจจำเป็นต้องออกประกาศห้ามนักศึกษาชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่กำลังลุกลามเป็นไฟลามทุ่งอยู่ในขณะนี้..
ขณะที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ขึ้น ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อบูรณาการข้อมูลจากทุกส่วนราชการ
แต่ที่ “พีค” สุดๆก็คือ ขณะที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ของ "หมอหนู-นายอนุทิน ชาญวีรกุล" ออกมารณรงค์ให้ประชาชนได้รู้จักการป้องกันตนเอง และถึงขั้นออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขล่าสุดประกาศให้เขื้อไวรัสโควิค-19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรงไปนั้น
แต่ประชนคนไทยกลับไม่สามารถหาซื้อหน้ากากอนามัยได้ บรรดาร้านขายยา ร้านรวง หรือโมเดิร์นเทรดน้อยใหญ่ต่างไม่มีสินค้าจำหน่าย ทั้งที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างรับรู้ปัญหานี้มาตั้งแต่ต้น และก่อนหน้านายกรัฐมนตรีก็ออกมายืนยัน นั่งยืนมาโดยตลอด ว่า หน้ากากอนามัยไม่ได้ขาดแคลน รัฐบาลยังคง"เอาอยู่”
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ที่ดูจะมั่นอกมั่นใจในมาตรการดูแลหน้ากากอนามัย หลังจากที่งัดมาตรการควบคุมหน้ากากอนามัย โดยจัดให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุมตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาคาสินค้าและบริการ กำหนดมาตรการป้องกันการผูกขาด และฉวยโอกาสโขกราคาของบรรดาผู้ผลิต ผู้ค้าทั้งหลาย รวมทั้งออกประกาศห้ามการส่งออกหน้ากากอนามัยและกำหนดให้ผู้ค้า โรงงานต้องแจ้งการครอบครอง
แต่กระนั้นปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัยยังคงทวีความรุนแรงขึ้นมาทุกขณะ ประชาชนผู้บริโภคโดยทั่วไปไม่สามารถหาซื้อหน้ากากอนามัยจากร้านขายยาหรือร้านค้าโดยทั่วไปได้ บรรดาบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สถานพยาบาลน้อยใหญ่ทั่วประเทศต่างประสพปัญหา ต้องวิ่งรอกจัดหาหน้ากากอนามัยกันจ้าละหวั่น
ตอกย้ำให้เห็นว่า มาตรการควบคุมหน้ากากอนามัยของกระทรวงพาณิชย์ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!!!
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์เล่นบทโหด ประกาศใช้อำนาจตามกฎหมายในการบริหารจัดการสินค้าควบคุมในภาวะวิกฤต โดยกำหนดให้หน้ากากอนามัยที่โรงงานผลิตได้ทุกชิ้น ต้องส่งเข้าศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อนำมาบริหารจัดการเอง พร้อมเร่งออกประกาศ กกร. สั่งทุกคนที่มีหน้ากาก ต้องแจ้งปริมาณครอบครอง ป้องกันการกักตุน
โดยนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดแถลงข่าวสื่อมวลชนหลังการประชุมวอร์รูมหน้ากากอนามัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.2563 เป็นต้นไป หน้ากากอนามัยทุกชิ้นที่โรงงานผลิตได้ หรือประมาณ 38 ล้านชิ้น/เดือน จะต้องนำเข้าสู่ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย ของกระทรวงพาณิชย์ทั้งหมด จากก่อนหน้านี้ ที่ปันส่วนเข้าศูนย์ประมาณ 40-45% เพื่อให้ศูนย์ฯ สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึงมากขึ้น
พร้อมระบุว่า การดำเนินการดังกล่าว ไม่ถือว่า เป็นการแทรกแซงการทำธุรกิจปกติของภาคเอกชน เพราะพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ให้อำนาจกระทรวงพาณิชย์เต็มที่ในการบริหารจัดการสินค้าควบคุมภายใต้ภาวะวิกฤติ ส่วนเมื่อนำมาทั้งหมด 100% แล้ว โรงงานจะสามารถทำการค้าได้ตามปกติหรือไม่นั้น อยู่ที่การพิจารณากันในศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย
"ที่ผ่านมา กรมการค้าภายในได้ขอปันส่วนจากผู้ผลิตทั้ง 11 แห่งในสัดส่วนไม่เกิน 45% ของกำลังการผลิต เพื่อมากระจายต่อให้กับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ก่อน อย่างโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ และส่งให้ร้านสะดวกซื้อ ร้านธงฟ้าทั่วประเทศ เพื่อขายสู่ประชาชน ส่วนที่เหลือ โรงงานไปขายเองตามช่องทางการค้าปกติ เช่น ขายให้กับลูกค้าต่างๆ แต่กลับพบว่า มีการประกาศขายตามสื่อโซเชียลจำนวนมาก ทำให้ผู้จำเป็นต้องใช้จริงๆ ไม่ได้ใช้ กระทรวงพาณิชย์ จึงต้องเข้าไปดูแลเองทั้งหมด เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
สำหรับการแก้ปัญหาผู้ค้าหน้ากากอนามัยเกินราคาผ่านทางออนไลน์ ได้ขอความร่วมมือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในการตรวจสอบเพื่อให้ถึงตัวผู้กระทำผิดผ่านสื่อโซเชียลแล้ว และเมื่อจับกุมได้ จะส่งดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด โดยจะมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่ฟากฝั่งโรงงานผู้ผลิตได้ออกโรงแฉต้นตอที่ทำให้หน้ากากอนามัยขาดตลาด โดยระบุว่า การที่กระทรวงพาณิชย์เข้ามาแทรกแซงตลาด โดยเฉพาะการประกาศคุมราคาขายหน้ากากอนามัยตามประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าฯ ชิ้นละ 2 บาท ยิ่งเป็นเครื่องตอกย้ำให้เห็นว่าภาครัฐไม่สามารถจะรับมือกับปัญหาขาดแคลนได้ และเชื่อว่ามาตรการที่ออกมาล่าสุดนั้นจะยิ่งจะสร้างปัญหาและทำให้ของหายไปจากตลาด
ลำพังแค่ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดให้โรงงานผู้ผลิตต้องป้อนสินค้าที่ผลิตได้ให้กระทรวงพาณิชย์ก่อนเป็นลำดับแรก 45-50% นั้น ก็ทำให้เกิดการกระจุกตัว ด้วยประสิทธิภาพในการกระจายสินค้าของหน่วยงานรัฐขาดประสิทธิภาพ เมื่อเพิ่มแรงกดดันให้โรงงานต้องจัดส่งสินค้าให้แก่กระทรวงทั้งหมดเพื่อที่กระทรวงพาณิชย์จะนำไปบริหารจัดการเอง ก็จะยิ่งทำให้เกิดความโกลาหล หน่วยงานรัฐและเอกชนหน้าไหนจะซื้อหน้ากาก ก็ต้องไปขอปันส่วนเอาจากกระทรวง ซึ่งก็ไม่รํจะแก้ไขปัญหาการขนส่งที่ไร้ประสิทธิภาพได้อย่างไร
“สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ไม่ยอมรับความเป็นจริงก็คือ การที่ผู้ผลิตหรือโรงงานถูกบังคับให้ต้องส่งสินค้าให้กระทรวงพาณิชย์ก่อนเป็นลำดับแรกในราคาต้นทุนชิ้นละ 2 บาทนั้น ผู้ผลิตต่างอึดอัดเพราะต้นทุนการผลิตและขายในปัจจุบันนั้นสูงกว่านั้นมาก แต่กลับถูกกดราคา จึงทำให้สินค้าในตลาดมืดทะลักออกมาขายเกลื่อนตลาด ยิ่งเมื่อกระทรวงพาณิชย์งัดมาตรการคุมคุมการผลิตและกระจายสินค้าทั้งหมดเช่นนี้ด้วยแล้ว ก็เชื่อแน่ว่านอกจากจะไม่ใช่หนทางแก้ไขปัญหาแล้ว ยังจะทำให้ราคาหน้ากากอนามัยในตลาดมืดแพงขึ้นไปอีก”
ล่าสุด จากการสำรวจราคาขายส่งหน้ากากอนามัยในตลาดนั้นพบว่า มีการจำหน่ายกันในราคาแพค (50 ชิ้น) ละ 720-750 บาทเข้าไปแล้ว จากเดิม 2 สัปดาห์ก่อนเคลื่อนไหวอยู่ที่ 600-650 บาท และผู้ค้ายังแจ้งด้วยว่า ในเร็วๆ นี้ ทางจีนเริ่มจำกัดวัตถุดิบที่จะใช้ผลิตหน้ากากอนามัยแล้ว จึงยิ่งทำให้มีแนวโน้มที่หน้ากากอนามัยจะขาดแคลนหนักเข้าไปอีก
ถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ เพราะหากการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จยังไมสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ หรือกลับทำให้หน้ากากอนามัยกลายเป็นสินค้าตลาดมืดหรือใต้ดินยิ่งขึ้นไปอีก ข้าราชการผู้มีส่วนรับผิดชอบก็คงหนีไม่พ้นจะต้องแสดงความรับผิดชอบตามมาอย่างแน่นอน!