นับวัน ประขาชนคนไทย ยิ่งต้องเฝ้าลุ้นระทึก รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะงัดมาตรการรุนแรงอะไรออกมาอีก นอกจากการ "ล็อกดาวน์" ประเทศที่ดำเนินการกันไปก่อนหน้า หรือต้องถึงขั้นปิดประเทศ ประกาศ "เคอร์ฟิว 24 ชั่วโมง"ตามกระแสร่ำลือที่ประดังกันออกมาตลอดห้วงสัปดาห์หรือไม่กับเฝ้าลุ้นระทึก รัฐบาลคลอดมาตรการแจกสะบัดอะไรออกมาอีก และอานิสงส์ของมาตรการเหล่านี้จะถูกส่งลงไปถึงมือประชาชนที่กำลังจะ "อดตาย" จากการหนุดงาน หรือถึงขั้นตกงานจากการปิดโรงงาน เลิกกิจการที่กำลังแพร่กระจายไปทุกแขนงการที่นายกฯ ต้องประกาศ "เคอร์ฟิว" งัด พรก.ฉุกเฉินขึ้นมาใช้ แม้หลายฝ่ายจะขานรับมาตรการ "เจ็บเพื่อจบ" ด้วยหวังว่ามาตรการล็อกดาวน์ประเทศที่ออกไปเหล่านี้จะทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสูบนรก "โควิด-19" คลี่คลายหรือลดลงไป ซึ่งจะว่าไปตัวเลขของผู้ติดเชื้อก็ลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่มาตรการ "ล็อกดาวน์" ประเทศที่ออกมา มันก็เป็นเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์นั้นล้มเหลวในการดำเนินนโยบาย "ไทยแลนด์ 4.0" การใช้เทคโนโลยีดิจิตอลขับเคลื่อนทุกอณูของสังคมและระบบเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง!ทั้งที่รัฐบาลได้เห็นความสำเร็จของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการนำเอาระบบเทคโนสารสนเทศมาใช้ติดตามการแก้ไขปัญหา การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส-19 ของรัฐบาลจีนและไต้หวัน รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ในภูมิภาคนี้มาแล้ว แต่รัฐบาลไทยที่ป่าวประกาศออกไปทั่วแว่นแคว้น เราจะเป็นประเทศแรกในภูมิภาคนี้ที่จะเปิดใช้เทคโนโลยี 5 จีในเชิงพาณิชย์ก่อนประเทศอื่นใดในภูมิภาค เรากลับสอบตกในเรื่องการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา และช่วยให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างแท้จริง!ไม่ต้องดูอื่นไกล เอาแค่เรื่องปัญหาการขาดแคลน "หน้ากากอนามัย" ที่กระทรวงพาณิชย์และสาธารณสุข (สธ.) โม่แป้งแก้ปัญหานี้กันมาตั้งแต่ต้นปีที่เชื้อไวรัสยังไม่แพร่ระบาด จนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถสร้างความกระจ่างให้กับประชาชนได้เลยว่าหน้ากากอนามัยที่บอกว่า มีสต๊อกมากถึง 200 ล้านชิ้น และมีกำลังผลิตเดือนละกว่า 36 ล้านชิ้นจากโรงงานต่างๆ นับร้อยแห่งนั้นอันตรธานหายไปไหนหมด เหตุใดประชาชนคนไทยที่รัฐบาลเรียกร้องให้ต้องสวมหน้ากากเวลาเดินทางไปทำงาน หรือต้องออกนอกบ้านอะไรนั้นจึงยังคงไม่สามารถจะ "เข้าถึง" และหาซื้อหน้ากากอนามัยเหล่านี้จากร้านค้าโดยทั่วไปได้แม้แต่หมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ก็ยังต้องร้องขอบริจาคหน้ากากอนามัยสำหรับวงการแพทย์ รวมไปถึงชุดเกราะป้องกันไวรัสโควิด-19 อะไรที่ว่ากันอยู่เลย จนวันนี้ทั้งๆ ที่การนำเทคโนโลยีติดตามและตรวจสอบหน้ากากอนามัยว่า ผลิตและกระจายไปยังแหล่งใด ร้านค้าใดบ้าง และประชาชนจะหาซื้อหน้ากากอนามัยจากร้านค้าใดในชุมชนได้บ้างนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ได้ใข้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนอะไรเลย เด็กมหาวิทยาลัยโดยทั่วไปก็สามารถสร้างแอปติดตามและตรวจสอบแบบ "เรียลไทม์" ได้ ไม่ต่างไปจากบรรดาไลน์แมน แกร็บคาร์ หรือบรรดาผู้ประกอบการส่งเมล์ด่วนทั้งหลายแหล่ที่ใช้กันอยู่ในเวลานี้ จะสั่งอาหาร สั่งของ จัดหาสินค้าใดทางออนไลน์ หรือแม้แต่อยากส่งของใดไปให้ญาติพี่น้องก็สามารถเรียกใช้บริการและสามารถติดตามสินค้าที่ส่งไปได้ว่า ถึงไหน และอยู่ที่ใดแล้วบ้างแต่สิ่งเหล่านี้ กลับไม่น่าเชื่อว่า รัฐบาลที่ป่าวประกาศว่าจะขับเคลื่อนทุกอณูของระบบเศรษฐกิจ ด้วยระบบดิจิทัล และป่าวประกาศนโยบาย Thailand 4.0 กลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! เรายังไม่พบว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจะมีแนวคิดในการเข้ามา Involve เรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย นอกจากเที่ยวไล่ตาม Fake news ไปวันๆ เช่นเดียวกับชุดป้องกันเชื้อโควิดของหมอ พยาบาล และบุคคลากรทางการแพทย์ ที่ว่า มีอยู่อย่างเพียงพอนั้น ประชาชนคนไทยหรือแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์เองเพราะไม่สามารถจะตรวจสอบได้ว่าชุดเหล่านี้ไปกระจุกตัวหรือซุกซ่อนอยู่ที่ใด บุคลากรทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้ถึงเข้าไม่ถึงยิ่งเมื่อมาเกิดกรณี ผู้โดยสาร 4-5 เที่ยวบินจากต่างประเทศ จำนวน 158 คน ที่บินมาลงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อค่ำวันที่ 4 เมษายน หลังประกาศเคอร์ฟิว 4 ทุ่ม ถึงตี 4 ของรัฐบาล ก่อนจะพากันก่อม็อบต้านมาตรการกักกันตัวที่รัฐบาลกำหนดก่อนที่นายทหารยศพลตรีจะไฟเขียวอนุญาตให้คนเหล่านี้กลับไปกักตัวที่บ้านได้ จนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว เพราะเป็นการดำเนินการที่ขัดประกาศเคอร์ฟิว และขัด พรก.ฉุกเฉิน จนนายกฯ และศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะสั่งให้เรียกตัวคนเหล่านี้กลับมารายงานตัว และเข้าสู่กระบวนการกักตัวอย่างเป็นทางการในวันรุ่งขึ้นไม่มีใครบอกได้ว่า บรรดาผู้โดยสารและคนไทยทั้ง 158 คนเหล่านั้น ได้ถูกติดตั้งแอป AOT Airport เครื่องติดตามตัวก่อนจะปล่อยตัวออกไปไหม เพราะหากบุคลากรเหล่านั้นได้มีการแจกซิมการ์ด และติดตั้งแอปติดตามตัวไป อย่างน้อยภาครัฐก็ยังจะสามารถจะติดตามตัวได้ว่าคนเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหน มีการกักตัวตามมาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสหรือไม่?นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พลเอกประยุทธ์ ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ถึงกับฟิวส์ขาด สั่งเด้งนายพลคนดังกล่าวเข้ากรุก่อนจะมีคำสั่งให้ผู้หลบหนีการกักกันทั้งหมดกลับเข้ารายงานตัว เพื่อเข้าสู่กระบวนการกักกัน ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงหากนายกและรัฐบาลจะงัดมาตรการเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงขึ้นมาใช้ ท่ามกลางความไม่พร้อมของเทคโนโลยี 4.0 ที่ "มีแต่เปลือก" แบบนี้ ประชาชนคนไทยคงได้แต่มืดแปดด้าน นอกจากเฝ้าดูหน้าจอมือถือที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารละลานตา จนไม่รู้อะไรถูก-ผิด แต่กลับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของผู้คนที่จะเอาตัวรอดจากวิกฤตไวรัสสูบนรก "โควิด-19" ที่เราจะต้องอยู่กับมันไปอีกไม่รู้กี่เดือนกี่ปีนับจากนี้ เรายังไม่เห็นเลยว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนหน่วยงานกำกับดูแลอย่างคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะกระโดดออกมาเป็น "เจ้าภาพหลัก" ในการสร้างแอปพลิเคขั่น ที่ประชาชนคนไทยสามารถจะ "เข้าถึง" ข้อมูลอันจำเป็นต่อการดำรงชีพอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างไร หรือจะเริ่มต้นกันเมื่อไหร่จะปล่อยให้ประชาชนคนไทยอยู่กับความหวังลมๆ แล้งๆ สักวันเชื้อโควิด-19 จะอันตรธานพ่ายภัยตัวเองไปอย่างนั้นหรืออย่างไร เพราะหากเชื้อไวรัสสูบนรกที่ว่านี้ มันไม่ตายไปจากโลก หน่วยงานรัฐจะต้องเริ่มสร้างเกราะกำยังที่จะให้ผู้คนเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้แล้วตั้งแต่วันนี้ เพราะเราคงไม่สามารถ "ล็อดาวน์ประเทศ" กันไปถึง 3 เดือน 6 เดือนแน่ จริงไม่จริง!