นอกจากประเด็นดราม่าเรื่องที่พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกฯ ลุงตู่ ส่งจดหมายน้อยเชื้อเชิญ 20 มหาเศรษฐกิจระดับเจ้าสัวในเมืองไทยมาร่วมหารือแนวทางกอบกู้เศรษฐกิจ กอบกู้วิกฤติประเทศเพิ่มเติม หลังรัฐบาลเริ่มเข้าตาจนจนถูกสัพยอกว่า “ถังแตก”แล้ว
อีกเรื่องที่ผู้คนในแวดวงโทรคมนาคมและผู้ใช้บริการมือถือต่างจับตากันอย่างใกล้ชิด ก็คือ นโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะให้ผู้ให้โอปอเรเตอร์ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดค่าบริการลง 30% เพื่อเป็นมาตรการเยียวยาเพิ่มเติมให้แก่ประชาชนช่วงวิกฤติไวรัสโควิด-19 หลังจากที่ กสทช.ได้หารือกับโอปอเรเตอร์มาถึง 3 รอบแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ
โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา นายพุฒิพงษ์ ปุณณกัณต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ก็กระโดดเข้าร่มวงไพบูลย์ด้วย โดยระบุว่า ได้หารือกับ กสทช. ในการผลักดันการปรับลดค่าบริการมือถือทั้งระบบลง 30%เพื่อช่วยเหลือประชาชนสู้โควิด-19 โดยจะมีการหารือกันอีกครั้งในวันที่ 20 เม.ย.ศกนี้
นายพนา ทองมีอาคม อาจารย์มหาวิทยาลัยหัวเฉียว และอดีต กสทช. กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า การจะให้บริษัทมือถือลดค่าบริการลง 30% นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สู้ให้บริษัทสมทบทุนต่อสู้ไวรัสยังจะง่ายกว่า เพราะที่สงสัยกันว่าผู้ให้บริการหรือโอปอเรเตอร์มีกำไรมากมายนั้น แท้ที่จริงแล้วมาจากฐานตลาดที่มีขนาดใหญ่ ไม่ได้มาจากผลต่างของต้นทุนและราคาหรือมาร์จิ้นที่เรียกเก็บจากผู้ใช้บริการ จะพูดว่าบริการโทรศัพท์มือถือเป็นบริการที่มี “มาร์จิ้น” ไม่มากก็ได้
“ลองคิดดูเล่นๆ วันนี้มีเครื่องโทรศัพท์มือถือใช้งานอยู่ประมาณ 90 ล้านเครื่อง หากผู้ให้บริการลดค่าบริการให้ผู้ใช้เครื่องละ 10 บาทต่อเดือน เพื่อช่วยเหลือในภาวะวิกฤตเรื่องโควิด-19 นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องใช้เงินถึงเดือนละ 900 ล้านบาท หรือปีละ 10,800 บาททีเดียว จะเห็นได้ว่าเงินจำนวน 10 บาทต่อเครื่องที่ผู้บริโภคได้รับไปนี้ มันจุ๋มจิ๋มมากสำหรับคนรับ แต่กับผู้ให้บริการหรือผู้ประกอบการแล้วมันเป็นเงินจำนวนมหาศาลถึง 10,800 ล้านบาทเลยทีเดียว และเงิน 10 บาทที่ลดให้จากยอดใช้จ่ายของแต่ละคน สมมุติว่าประมาณ 300 บาทต่อเดือน ก็ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่น้อยมากจนคนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างที่ได้รับ (Imperceptible Difference) ถ้าจะลดให้ผู้บริโภค 20 บาท ผู้คนอาจเริ่มรู้สึกได้บ้าง แต่เงินที่ผู้ประกอบการต้องแบกจะมียอดขึ้นไปถึงปีละ 21,600 ล้านบาททีเดียว ซึ่งไม่คิดว่าผู้ประกอบการจะรับไหว นี่ยังไม่พูดถึงส่วนลด 30% ที่เห็นพูดๆ กันตามหน้าสื่อ”
ดังนั้น การคาดหวังว่าผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือลดค่าบริการให้แก่ผู้บริโภคจนเป็นประโยชน์นั้น จึงเป็นเรื่องยากมากๆ เพราะในการทำตลาดที่แท้จริง ยังมีเรื่องของระบบพรีเพด โพสต์เพด และแพคเกจต่างๆ ที่ซับซ้อนอยู่อีก จะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เท่ากันหมดได้อย่างไร เพราะแต่ละแพ๊คเกจต่างก็จะมีโครงสร้างต้นทุนที่แตกต่างกันอยู่
“ธุรกิจมือถือเป็นธุรกิจที่มีฐานผู้บริโภคกว้าง กำไรที่ผู้ประกอบการได้รับจากผู้บริโภคคนนั้นน้อยมาก แต่มีฐานลูกค้าจำนวนมากจึงมีตัวเงินรวมที่ดูใหญ่มาก เมือจะให้เขาลดค่าบริการลง เขาอาจลดให้คนใช้แค่คนละเล็กคนละน้อยแต่ยอดมันจะใหญ่มากจนแบกรับได้ยาก ดูตัวอย่างการไฟฟ้าที่มีฐานผู้ใช้ 20 กว่าล้านครัวเรือน พอประกาศลดค่าไฟฟ้าสู้โควิดให้ผู้ใช้ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ผู้คนด่ากันตรึมจนต้องไปคิดสูตรใหม่แทบไม่ทัน กับธุรกิจแบบนี้ เรียกร้องให้เขาช่วยโดยการจ่ายเงินก้อนใหญ่ๆ อาจเป็นวิธีที่ดีกว่าไปเรียกร้องให้เขาลดค่าบริการให้ผู้ใช้ปลายทาง”
ขณะที่แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า เหตุผลที่โอเปอเรเตอร์ทั้ง 5 ค่ายไม่สามารถสนองตอบนโยบาย กสทช.ได้ทันทีนั้นเพราะการปรับลดค่าบริการทั้งระบบนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อสถานะของบริษัทและเกี่ยวพันไปถึงหนี้เงินกู้และผู้ถือหุ้น หากจะต้องปรับลดค่าบริการทั้งระบบจำเป็นต้องได้รับการไฟเขียวจากผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้เงินกู้ด้วย จึงไม่ใช่เรื่องที่จะดำเนินการได้ง่าย ๆ
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาทุกค่ายมือถือต่างก็มีการออกแพคเกจและโปรโมชั่นช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่แล้ว 20-30 แพคเกจ โดยเฉพาะค่ายทรูและเอ ไอเอสนั้นมีแพคเกจช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้บริการมากถึง 30-40 โปรแกรม “ที่ผ่านมาเอกชน ได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลและสำนักงาน กสทช. มาตลอดโดยล่าสุด ได้ร่วมกับ กสทช. แจกเน็ตฟรีให้ประชาชนจำนวน 10 GB ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการช่วยประชาชนในด้านหนึ่งอยู่แล้ว โดยสำนักงาน กสทช. นำเงินจากกองทุน กทปส. มาชดเชยให้เอกชนในอัตรา 100 บาทต่อเลขหมาย ทั้งที่ในความเป็นจริงเอกชนแทบไม่ได้อะไรเลย เพราะปกติมีการขายโปรโมชั่นอินเทอร์เน็ต 10 GB ระยะเวลา 30 วัน อยู่ที่ 299-399 บาทอยู่แล้ว”
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ธุรกิจโทรคมนาคมเองก็มีการเรียกร้องให้ภาครัฐช่วยเหลือสารพัด ทั้งเรื่องของการลดค่าธรรมเนียมนำส่งกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือกองทุน USO หรือการผ่อนปรนให้เปิดศูนย์บริการในห้างหรือนอกห้างเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค แต่สิ่งเหล่านี้ก็กลับไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ จากรัฐ