มีรายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2563 นายบรรยง พงษ์พาณิช นักบริหารการเงินชื่อดัง มากประสบการณ์ มีตำแหน่งสำคัญๆ คือ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เคยเป็นอดีตประธานกรรมการ บริษัท หลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) , อดีตบอร์ดการบินไทย และอดีตซุปเปอร์บอร์ดรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊คในหัวข้อ “เศรษฐีไทยช่วยชาติ..ในยามวิกฤติ” โดยระบุว่า...เห็นข่าวรัฐบาลเชิญมหาเศรษฐียี่สิบอันดับแรก ให้เข้ามาหารือเพื่อร่วมกันช่วยชาติในยามวิกฤติ แล้วรู้สึกยังไงกันบ้างครับ (นี่ถ้าเชิญสักห้าหมื่นอันดับผมอาจจะได้เข้าทำเนียบอีกทีด้วย)ผมเองมีความรู้สึกสองด้าน คือ ด้านที่รู้สึกดีว่ารัฐจะได้กระตุ้นให้ผู้ที่มีล้นเหลือหันมาร่วมมือกันแบ่งปัน เผื่อแผ่ ซึ่งความจริงผมก็เห็นทุกท่านทำกันมาอยู่แล้ว บางท่านก็มีโครงการดี เช่น สร้างโรงงานทำหน้ากากแจกฟรี สั่งซื้อเครื่องตรวจที่มีประสิทธิภาพให้โรงพยาบาลต่างๆ บริจาคทานให้ผู้เดือดร้อนในรูปแบบต่างๆ หลายท่านก็ทำมาตลอดตั้งแต่ก่อนหน้าวิกฤติ สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน บริจาคมากมาย ถวายพระราชกุศล ฯลฯ การที่เรียกมาประชุมร่วมกัน ในแง่นี้ จะมีประโยชน์ก็แค่สองอย่าง คือ หนึ่ง จะได้แบ่งงานกันทำ แบ่งภารกิจ แบ่งพื้นที่ให้ทั่วถึง ไม่ให้ซ้ำซ้อน หรือถ้ามีภารกิจใดที่ใหญ่เกินไปที่รายเดียวจะรับภาระได้ก็จะได้ร่วมกันทำ แต่แม้ในแง่ดีนี้ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่สองเรื่อง คือ หนึ่งถ้าเป็นโครงการของรัฐ รัฐก็น่าจะทำได้เองอยู่แล้ว เพราะออก พรก.ไปตั้งเกือบสองล้านล้าน ถ้ามีเรื่องจำเป็นก็ทำได้เลย ถ้าเงินไม่พอก็ ออก พรก.เพิ่มได้ ถ้าจะใช้ทรัพยากรเอกชน ก็จ่ายเงินเขาไปมันง่าย ควบคุมได้ และทำให้โปร่งใสได้ง่ายกว่าเยอะ แต่ที่ผมกลัวที่สุด ก็คือไปเรียกให้เข้าแถวมาบริจาคเหมือนคราวภัยพิบัติ ซึ่งเสร็จแล้วก็เอาเงินมากองไว้ ใช้ได้ยากมาก …เพราะฉะนั้น ในแง่ที่ว่าดีนี้ ถ้าเป็นการที่รัฐจะทำตัวเป็นศูนย์กลาง เป็นผู้ประสานรวบรวมทรัพยากรพิเศษเพื่อไปจัดการนั้น มันขัดกับหลักที่ว่าภาครัฐไม่มีทางที่จะมีประสิทธิภาพและความคล่องตัวเท่าเอกชน (ก็ให้คล่องทีไรมันรั่วทุกทีนี่ครับ) ผมก็คิดว่าให้เอกชนเขาทำไปเองเถอะครับ รัฐเพียงแต่ให้ข้อมูลข่าวสาร ว่าที่ไหนเดือดร้อนอะไร แล้วปล่อยเขาว่าไปทีนี้มาอีกด้านหนึ่ง คือรัฐเชิญเข้ามาปรึกษาเพื่อนำไปสร้างนโยบายและมาตรการที่จะรักษาระบบเศรษฐกิจ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เยียวยาภาคส่วนที่มันเดือดร้อน อันนี้นัยว่า เหล่ามหาเศรษฐีล้วนเป็นคนเก่ง คนดี ย่อมมีแนวคิดที่เป็นประโยชน์ อันนี้แหละครับที่ผมคิดว่าจะต้องระวังอย่างมาก ควรเป็นไปในแนวทางที่รับฟังข้อมูล รับฟังปัญหา ถ้าจะมีข้อเสนอก็ควรเป็นแค่ข้อเสนอ การจะนำไปปฏิบัติจะต้องทบทวนพิจารณาอย่างถ้วนถี่ และการขับเคลื่อน ถ้าจะใช้ทรัพยากรเอกชนก็น่าจะเป็นในลักษณะว่าจ้าง มี Arm’slenght กันตามสมควร อย่าถึงกับให้เอกชนออกนโยบาย คุมนโยบาย หรือออกเงินขับเคลื่อนนโยบายเลยครับขอยกตัวอย่างโครงการ ”สานพลังประชารัฐ” ที่เริ่มต้นก็มีเจตนาดี ตั้งกรรมการสิบกว่าคณะ จะเปลี่ยนประเทศให้เป็น 4.0 เอกชนรายใหญ่เข้าไปร่วมกันครบครัน (ผมก็เข้าไปร่วมด้วย…นั่งฟังประชุมสี่ชั่วโมง ไม่มีคำว่า ส่งเสริมการแข่งขัน จำกัดการผูกขาด เปิดเสรีการแข่งขัน แม้แต่คำเดียว) ผลก็คือ ทำกันมาห้าปีเศษ (ไม่รู้ยังมีใครยังทำอยู่บ้างครับ…ผมเผ่นมาสามปีแล้ว) เราก็ยังไม่ใกล้ 4.0 ไปเลยแม้แต่นิดเดียว ความเหลื่อมล้ำ ความยากจนก็ยังแย่ลง คอร์รัปชั่นไม่ลด) มีแค่เหล่ามหาทั้งหลายที่มีทรัพย์เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว (ตามที่ Forbes เขาว่านะครับ)ความจริงแล้ว ตามทฤษฎี ตามประวัติศาสตร์ เขาว่า สงคราม วิกฤติเศรษฐกิจ และโรคระบาดร้ายแรง นี่เป็นเครื่องลดความเหลื่อมล้ำที่มีประสิทธิภาพ เกิดขึ้นทีไร ความเหลื่อมล้ำลด แต่มันลดในแง่ไม่ดี เพราะคนรวยจะโดนมากกว่าคนจนเยอะครับ …คราวนี้ก็เหมือนกัน เหล่ามหาที่ท่านเชิญมา ทรัพย์สินรวมลดไปแล้วหลายล้านๆ บาท หายไปหลายสิบเปอร์เซนต์กันทุกคน ท่านก็ต่างเดือดร้อนกันเอง จะรักษาดูแลกิจการ ดูแลผู้คนของตัวก็ยังเป็นเรื่องลำบากอยู่แล้ว แถมรัฐต้องใช้เงินมหาศาลขนาดนี้ ก็เป็นที่แน่นอนว่า ท่านๆ ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างมากแน่นอน (ถ้าเรียกมาบอกเรื่องนี้เท่านั้น ขอให้อย่า ”วางแผนภาษี” มากเกินไปก็น่าจะเป็นประโยชน์พอแล้วครับ)ตามปกติแล้ว มหาเศรษฐีนี่จะมีสามจำพวก (ผมแบ่งเองนะครับ) คือ 1. พวกค้ากับโลก 2. พวกค้าในชาติ และ 3. พวกค้ากับรัฐพวกค้ากับโลกก็คือ พวกที่ผลิตสินค้าและบริการขายไปทั่วโลก รายได้มากกว่า 80% มาจากนอกประเทศ พวกนี้ก็เช่น สตีฟ จ๊อบ บิล เกตส์ ซัคเคอร์เบิร์ก แจ๊คหม่า Ortega (เจ้าของ Zara) Arnault (เจ้าของ LVMH) Samsung Sony ฯลฯพวกค้ากับชาติ คือ พวกที่ทำธุรกิจส่วนใหญ่กับคนในชาติตนเอง รายได้ส่วนใหญ่มาจากในประเทศ ส่วนใหญ่จะทำธุรกิจ Non-tradables เช่น อสังหาฯ สถาบันการเงิน โรงพยาบาล รีเทล โทรคมนาคม สาธารณูปโภคพื้นฐาน ถนน คมนาคมฯลฯ พวกนี้ถึงอาจจะไม่ค้ากับรัฐโดยตรง แต่ก็ต้องอยู่ใต้กฎรัฐมาก ต้องถูกควบคุมโดยรัฐ (เช่น ห้ามผูกขาดฯลฯ)พวกที่สามคือ พวกที่ค้าขายกับรัฐโดยตรง พวกที่ขายสินค้าและบริการให้รัฐหรือรัฐวิสาหกิจ พวกที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ (ซึ่งก็คือเช่าการผูกขาดมาจากรัฐ) พวกนี้จะยากดีมีจนขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐ และความสัมพันธ์กับรัฐผมจะไม่ไล่ให้นะครับ ว่ามหาเศรษฐีไทยคนไหนเป็นพวกไหน ทุกคนไล่ได้เอง …ถึงตอนนี้ ต้องเน้นว่า ผมไม่ได้ว่าใครผิดนะครับ ทุกคนมีสิทธิ์แสวงหาความร่ำรวยได้ครับ เพียงแต่ขอให้ไม่ผิดกฎหมาย ไม่บิดเบือนตลาด ไม่บิดเบือนนโยบาย และไม่จ่ายเงินคอร์รัปชั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งการบิดเบือนอำนาจรัฐ นโยบายรัฐ …รัฐมีหน้าที่ที่ต้องคอยดูแล ให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม ดูแลเรื่องความโปร่งใส ไม่ให้มีการครอบงำตลาด ในทฤษฎีคอร์รัปชั่นนั้น การคอร์รัปชั่นขั้นสูงที่น่ากลัวที่สุด ก็คือ ”การกุมรัฐ” (State Capture) ซึ่งก็คือ การที่เอกชนสามารถกุมนโยบายรัฐ หรือควบคุมรัฐให้ทำเพื่อประโยชน์ตัวเองได้ …อีกครั้งนะครับ ผมกำลังไม่ได้กล่าวหาใคร แต่เรื่องอย่างนี้ต้องระวังอย่างที่สุด ไม่ให้มีแม้แต่โอกาสที่จะเกิดอย่างในยามวิกฤติที่ต้องการความเร่งด่วน ความชุลมุน การบิดบือน ยิ่งเกิดขึ้นได้ง่าย ยิ่งต้องระมัดระวัง ยกตัวอย่างที่ ขณะที่ท่านปลัดฯ ต้องตากหน้าลงไปเจรจาขอร้องประชาชนที่เดือดร้อนให้อดทนรอ แต่ท่านก็ให้รัฐวิสาหกิจที่ท่านเป็นประธานอาศัยช่วงชุลมุนออกมาตรการเยียวยาเอกชนที่ค้าขายด้วย ให้ได้ลดค่าสัมปทานไปรวดเดียวสองปี (ออกมาตรการตั้งแต่ยังไม่ปิดเมือง ปิดสนามบินซะอีกอีก …ทำงานรวดเร็วมีประสิทธิภาพได้อย่างไม่น่าเชื่อ) คิดเป็นเงินหลายหมื่นล้าน เยียวยาท่านมหาไปนี่แหละครับ ความเป็นห่วงของคนเสียภาษีคนหนึ่ง ที่สนับสนุนให้รัฐใช้มาตรการเด็ดขาดสู้โควิดมาตลอด สนับสนุนให้รัฐใช่ทรัพยากรเพิ่มขึ้นให้เต็มที่ เพื่อเอาชนะโรคร้าย กับดูแลเศรษฐกิจไม่ให้วิกฤติ ดูแลผู้ด้อยโอกาส ผู้เดือดร้อน และเตรียมตัวที่จะยินยอมเสียภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อการนี้ขอเน้นเป็นครั้งที่สามนะครับ ว่า ไม่ได้กล่าวหาใคร เพียงขออนุญาตส่งเสียงเตือนในฐานะประชาชนไว้เท่านั้นนะครับ