หลายฝ่ายอาจตั้งคำถาม เหตุใด "สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์" ต้องขุดคุ้ยโครงการ “ปาล์มอินโดฯ” มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาทนี้ ขึ้นมาตีแผ่อีกครั้ง ทั้งที่ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบไล่เบี้ยผู้เกี่ยวข้องให้รู้ดำรู้แดงออกมาก่อน
เหตุผลนั้น ก็เพราะพฤติกรรมในระยะหลังๆ ของหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตแห่งนี้ ชวนให้ผู้คนในสังคมเต็มไปด้วยข้อ “กังขา” ว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงธรรมคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริงหรือไม่?
ผลสรุปการไต่สวนคดีอื้อฉาวหลายคดี อย่าง “นาฬิกาสุดหรู(ยืมเพื่อน)” ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. สรุปผลไต่สวนออกน้ำออกทะเลไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้ หรือกรณีการจัดหาเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด GT-200 มูลค่านับ 1,000 ล้าน คดีโรงพักร้าง 396 แห่งมูลค่า 6,800 ล้าน และคดีทุจริตจัดซื้อคุรุภัณฑ์ ที่จ่อจะ “หายเข้ากลีบเมฆ”...
ขณะที่คดีความที่เกี่ยวพันไปถึงคู่ปรับทางการเมืองของรัฐบาลดูหน่วยงานนี้กลับกุลีกุจอชี้มูลความผิดออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า บางคดีนั้นแทบจะแตกแขนงออกมาสอบไล่เบี้ยกันเป็นซีรี่ส์เลยทีเดียว !
ล่าสุด เราได้เห็นสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. จัดพิธีมอบรางวัล “องค์กรโปร่งใส” ให้แก่บริษัท ปตท. และบริษัทในกลุ่มอีก 4 แห่ง ทั้งที่องค์กรแห่งนี้ยังมีชนักติดหลังกรณีปาล์มอินโดฯ มูลค่ากว่า 20,000 ล้าน คาราคาซังอยู่ในมือองค์กร ป.ป.ช.อยู่แท้ ๆ
หนักข้อเข้า ตัวอดีตผู้บริหาร ปตท. ที่เกี่ยวข้องในคดี ”ปาล์มอินโดฯ” ที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังความเสียหายทั้งมวล ยังได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็นที่ปรึกษานายกฯ ในรัฐบาล คสช. ชุดนี้อีกต่างหาก ทั้งที่ยังมีชนักติดหลังที่ถูกร้องสอบคาราคาซังอยู่ที่ ป.ป.ช. อยู่ด้วย
จึงไม่แปลกใจ หากสังคมจะหวนมาตั้งคำถามถึงมาตรฐานธรรมาภิบาล ทั้งองค์กรผู้มอบและผู้รับมอบ!
ปริศนาการลงทุนปาล์มอินโดฯ
ย้อนกลับมาที่คดีปาล์มอินโดฯ ที่หากทุกฝ่ายจะได้ย้อนกลับไปพิจารณาเส้นทางการลงทุนในโครงการดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การลงทุนในโครงการปาล์มอินโดฯ ทั้ง 5 โครงการของ PTTGE นั้น ไม่ได้เป็นการตัดสินใจลงทุนของคนๆเดียวแน่
แต่กระทำในรูปของบริษัทและทุกอย่างดำเนินไปตามกรอบที่บอร์ด ปตท. อนุมัติหลักการไว้แต่แรก แต่กลับเป็นที่น่าแปลก!
เหตุใดทั้ง ปตท. ที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบโครงการดังกล่าว และ ป.ป.ช. กลับพุ่งเป้าไปที่ “นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา” อดีตผู้อำนวยการโครงการเพียงผู้เดียว ราวกับว่า เขาคือต้นตอของปัญหาและความเสียหายทั้งมวล!
หากทุกฝ่ายจะได้ย้อนรอยกลับไปพิจารณา ประเด็นข้อกล่าวหาของฝ่ายบริหาร ปตท. ที่ระบุในภายหลังว่า มีรายการหมกเม็ดการลงทุนในพื้นที่ป่าสงวนหรือพื้นที่ไร้เอกสารสิทธิ์ จนทำให้ไม่สามารถจะเดินหน้าพัฒนาโครงการต่อไปได้ ก่อนที่ปตท. จะไฟเขียวขายทิ้งโครงการออกไปในที่สุดนั้น
นายนิพิฐ อิศรางกูรฯ อดีตผู้บริหาร PTTGE ได้เปิดเผย “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” หลังจากหอบเอกสารหลักฐานเข้ายื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. พ่วงผู้บริหาร ปตท.กรีนฯ ไปล่าสุดว่า ข้อกล่าวหาของผู้บริหาร ปตท. และ PTTGE ที่เข้ามารับผิดชอบโครงการในภายหลังนั้น ล้วนแต่ย้อนแย้งรายงานการประชุมบอร์ด ปตท.กรีนฯ และ ปตท.เองโดยสิ้นเชิง!
ทั้งนี้ พื้นที่โดยส่วนใหญ่ของอินโดฯ นั้น ไม่ได้มีการแยกแยะประเภทการใช้งานเอาไว้อย่างชัดเจน นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่เข้าไปลงทุนต่างเข้าใจถึงเงื่อนไขของทางการอินโดฯ เป็นอย่างดีว่า ทุกรายจะต้องได้รับใบอนุญาตและเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตามลำดับคือ
1. ใบอนุญาตแนวเขนและพื้นที่ปลูกปาล์ม(Location permit) 2. ใบอนุญาตให้ดำเนินการปลูกปาล์มหรือประกอบธุรกิจปาล์มน้ำมัน (Izin Usaha Perkebunan : IUP) 3. รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (AMDAL) 4. เอกสารสิทธิ์ในการปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตปาล์มน้ำมัน (Hak Guna Usana :HGU) และ 5. เอกสารสิทธิ์ในการก่อสร้างและสิ่งปลูกสร้างโรงสกัดน้ำมันปาล์มบนพื้นที่ ซึ่งการจะได้รับเอกสารสิทธิ์เหล่านี้ ที่ดินจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามลำดับขั้นตอน
ดังนั้น ที่ดินจะมีราคาถูกหรือแพงจึงขึ้นอยู่กับว่าที่ดินนั้นมีการพัฒนาไปถึงขั้นไหนและได้ใบอนุญาตประเภทใดไปแล้ว “การตัดสินใจเข้าไปลงทุนในโครงการปาล์มอินโดฯ ที่มีการกล่าวว่า พื้นที่ที่เข้าไปลงทุนไม่มีเอกสารสิทธิ์บ้าง เป็นป่าสงวนบ้าง ไม่ได้รับใบอนุญาตบ้างนั่น ผู้บริหารปตท.รับรู้ดีถึงความเสี่ยงในเรื่องเหล่านี้ เพราะพื้นที่ที่เราจะเข้าไปซื้อหรือลงทุนนั้น เรามีเงื่อนไขต้องเป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ชัดเจนแล้วเท่านั้น
แม้แต่การจะจ่ายเงินมัดจำ 5% เรายังต้องได้เอกสารสิทธิ์ ได้รับสัมปทานมาก่อน เราถึงจะจ่ายเงินออกไป แม้แต่ค่ามัดจำยังให้ทางอินโดฯ ต้องนำเอาทรัพย์สินมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน และทุกโครงการที่เราเข้าไปลงทุนนั้นได้รับเอกสารสิทธิ์เบื้องต้นครบทั้ง 3 ลำดับ คือ Location permit , AMDAL และ IUP”
แฉจุดเปลี่ยนโครงการลงทุน!
นายนิพิฐ ยืนยันว่า ตลอดระยะเวลาในการลงทุนโครงการปาล์มอินโดฯ นั้น PTTGE ได้ทำการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเปรียบเทียบเงินลงทุนที่ได้ลงทุกไปแล้วทุกระยะ โดยว่าจ้างบริษัท KJPP Muttiagin Bambang Purwanto Rozak Uswatun & Rekan : MBPRU และบริษัท KJPP Budi Edy Saptono &Rekan : BES ซึ่งเป็นบริษัทประเมินมูลค่าสวนปาล์มที่ได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลอินโดนีเซีย ให้เป็นผู้ประเมินมูลค่าโครงการ
ผลการประเมินมูลค่าโครงการที่ได้ในทุกโครงการ PTTGE ยังคงมีกำไรจากการลงทุนในโครงการเหล่านี้ แม้ในภายหลัง ผู้บริหารใหม่ PTTGE (นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ) จะมีการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อคำนวณหาผลตอบแทนการลงทุนในโครงการนี้ใหม่ โดยระบุว่า ทุกโครงการมีผลตอบแทนลดลง แต่กระนั้นมูลค่าของโครงการก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่ได้ทำให้ ปตท.เสียหายหรือขาดทุนแม้แต่น้อย
โดยโครงการ พีที อัซซารา มีผลตอบแทนร้อยละ 10.18 โครงการพีที มาร์ (พอนเทียนัค) มีผลตอบแทนการลงทุน ร้อยละ 8.61 โครงการพีที มาร์ (บันยัวซิน) มีผลตอบแทนการลงทุน ร้อยละ 10.42 โครงการพีที เอฟบีที มีผลตอบแทนการลงทุนร้อยละ 10.17 และโครงการพีที เคพีไอ มีผลตอบแทนการลงทุนร้อยละ 14.17
“กล่าวได้ว่า การดำเนินธุรกิจปาล์มอินโดฯของพีทีทีจีอี นับตั้งแต่ ปตท. เริ่มเข้าไปลงทุนธุรกิจปาล์มอินโดฯ จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ 2555 นั้น ทุกพื้นที่ที่ ปตท. เข้าไปลงทุนมีความคืบหน้าในการพัฒนา หากจะขายต่อโครงการออกไปอย่างไรก็มีแต่กำไร เพราะ ปตท. เข้าไปลงทุนเหล่านี้ได้เข้าไปลงทุนในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด และเมื่อมีการพัฒนาไปแล้วที่ดินเหล่านั้นมีราคาสูงขึ้น จึงไม่มีทางจะทำให้ขาดทุนจากโครงการเหล่านี้ได้”
แต่จุดเปลี่ยนโครงการลงทุนปาล์มอินโดฯ มูลค่ากว่า 20,000 ล้าน พลิกผันจากโครงการที่คาดว่า จะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ทดแทนธุรกิจน้ำมันของ ปตท. กลายมาเป็นการขาดทุนบักโกรก จนต้องขายทิ้งไปนั้น นายนิพิฐ ระบุว่า เกิดในช่วง “เปลี่ยนผ่าน” ผู้บริหาร ปตท. ในช่วงปี 2555-56 หลังจากตนถูกคำสั่งปลดออกจากรักษาการกรรมการผู้จัดการและกรรมการ PTTGE และเปลี่ยนผู้บริหารใหม่ รวมทั้งปรับเปลี่ยนนโยบายพัฒนาปาล์มอินโดฯ ชนิด ”หน้ามือเป็นหลังมือ”
“ปตท. มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนในโครงการใหม่ จากเดิมที่มุ่งเน้นการพัฒนาและปลูกปาล์มเอง ซึ่งให้ผลตอบแทนช้า มาเป็นการสร้างโรงสกัดและรับซื้อผลผลิตปาล์ม (CPO) แทน ทั้งยังมีนโยบายให้ขายโครงการที่ได้ลงทุนไปแล้วออกไปภายในสิ้นปี 55 อีกด้วย โดยมีการปรับปรุงแก้ไขสมมุติฐานการคิดคำนวณผลตอบแทนการลงทุนใหม่ เพื่อชี้ให้บอร์ด ปตท. เห็นว่า ผลตอบแทนในการลงทุนในธุรกิจปาล์มอินโดฯ ต่ำกว่า 15% เพื่อที่จะให้บอร์ด ปตท. ยกเลิกการลงทุนและขายทิ้งโครงการเหล่านี้”
สิ่งที่ผู้บริหาร PTTGE และ ปตท. ปกปิดกันมาโดยตลอดก็คือ การบริหารที่ผิดพลาดโดยเฉพาะการละเลยไม่ดำเนินการต่อใบอนุญาต Location permit ในพื้นที่ปลูกปาล์มของบริษัทในโครงการ 2 แหล่งเนื้อที่รวมกันกว่า 10,000 เฮกตาร์ จึงทำให้ถูกริบใบอนุญาตและถูกริบพื้นที่กลับไป ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ทั้ง 6 บริษัทย่อยต่างได้รับเอกสารสิทธิ์ Location permit , AMDAL และ IUP ครบทั้งหมดแล้ว
โดย PT BIA ได้รับเอกสารสิทธิ์ HGU สำหรับพื้นที่ 18,500 เฮกตาร์ครบถ้วน และบริษัท PT KAA อยู่ระหว่างยื่นเรื่องขอออกเอกสารสิทธิ์ HGU พื้นที่ 15,500 เฮกตาร์เศษ ส่วนที่เหลือ PT KBA, PT WHH, PT BSA และ PT MKA อยู่ระหว่างการขอออกเอกสารสิทธิ์ HGU ซึ่งจำเป็นจะต้องเร่งการพัฒนาและเพาะปลูกปาล์มให้เป็นไปตามเงื่อนไข เพื่อรักษาใบอนุญาต Location permit เพื่อเพิ่มมูลค่าของที่ดินในโครงการ
แต่เพราะการขาดความรู้ และไร้ประสบการณ์ของผู้บริหาร PTTGE ที่ถูกแต่งตั้งเข้ามารับผิดชอบในภายหลัง แทนที่จะเสนอแผนพัฒนาต่อ ก็กลับไปเสนอแผนให้ชะลอการพัฒนาโครงการ PT FBT จนทำให้ ปตท. และ PTTGE ต้องสูญเสียเงินลงทุนสำหรับโครงการนี้ไปทั้งหมด
“ข้อมูลที่มีการเปิดเผยในภายหลัง พบว่า 1 ในพื้นที่โครงการที่มีมูลค่ากว่า 200 ล้านเหรียญนี้ ถูกขายออกไปในราคาต่ำติดดินเพียง 60 ล้านเหรียญเท่านั้น ทั้งๆ ที่โครงการเหล่านี้มีแต่จะราคาสูงขึ้น เพราะได้รับการพัฒนาไปแล้ว 5-6 ปี จึงเป็นไปไม่ได้ที่ราคา ณ วันที่ทำการซื้อขายจะทำให้ปตท.ขาดทุน ยกเว้นมีใครจงใจเพื่อกลบความเน่าเฟะของตนอง”
การที่ ปตท. (ZPTTGE) ตัดสินใจยกเลิกการประกอบธุรกิจปลูกปาล์มที่อินโดนีเซียอย่างรวบรัด และดำเนินการอย่างเร่งรีบชนิด “ม้วนเดียวจบ” โดยอ้างว่าขาดทุนต่อเนื่อง แต่กลับยอมขายโครงการออกไปในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัย
สอดรับกับ “เงื่อนงำบางประการ” ที่ทำให้ บมจ. ปตท. เอง ก็ไม่เคยเปิดเผยผลการตรวจสอบการกระทำความผิดจากการตรวจสอบภายในต่อสาธารณชนมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องความเสียหาย และความเชื่อมโยงของบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
พลาดไม่ได้ ติดตามมหากาพย์ ปาล์มอินโด (3)....เมื่อ ”แพะ” ฮึดสู้ฟัองแหลกบิ๊ก ปตท. จนสะเทือนไปถึง ป.ป.ช. !!!