ถ้าคนไทยและทั่วโลกจะตั้งข้อสงสัยในการทำงานของระบบ AI ที่รัฐบาลไทย นำมาใช้คัดกรองผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยา 5,000 บาท ก็อย่าได้แปลกใจ! และอย่าตกใจว่าจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น... idiot AI อัจฉริยะปัญญานิ่ม!
ทำเอาคนทั่วโลกเกิดความสงสัย? พร้อมกับตั้งคำถามเซ็งแซ่ไปยังรัฐบาลไทย ต่อเนื่องจากปมการหยิบเอา “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI (Artificial Intelligence) มาใช้การคัดกรองผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID 19) และจากนโยบายสั่งปิดกิจการในหลายๆ ประเภทของรัฐบาล..
คัดกรองเพื่อแยกคนที่เดือดร้อนจาก 2 ผลกระทบหลักข้างต้น เพื่อรับสิทธิ์ในเงินเยียวยา 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน (เมษายน- พฤษภาคม – มิถุนายน 2563)
ตั้งข้อสงสัยว่า เป็น AI มาตรฐานเดียวกับที่คนทั่วโลกใช้หรือไม่?
เหตุที่ต้องตั้งคำถามกันอย่างนี้ นั่นเพราะ “ผลประจักษ์” ที่ AI คัดกรองออกมา ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและปัญหาความเดือดร้อนของคนไทยเกือบ 30 ล้านคน ที่แห่แหนลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้ลงทะเบียน 28 มีนาคม 2563
แต่ก่อนหน้านั้น คือ วันที่ 22 มีนาคม 2563 พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)ได้ออกคำสั่ง ปิดสถานประกอบการตามมาตรา 35 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เพิ่มเติม เป็นระยะเวลา 22 วัน ตั้งแต่ 22 มีนาคม-12 เมษายน 2563
จากนั้น...ก็ขยายเวลาการปิดและเพิ่มประเภทกิจการ/สถานประกอบการเพิ่มเติม
ครอบคลุม...สปา นวดเพื่อสุขภาพ สถานบริการควบคุมน้ำหนัก สปาอาบน้ำ ตัดขนสัตว์ ลานสเก็ตหรือโรลเลอร์เบรด กิจการเสริมสวย และคลินิคเสริมความงาม สวนสนุก โบว์ลิ่ง ตู้เกม กิจการบริการคอมพิวเตอร์ สนามกอล์ฟ สนามฝึกซ้อมกอล์ฟ สระว่ายน้ำ กิจการสักผิว กิจการบริการเลี้ยงและดูแลเด็กที่บ้าน บริการดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน
สนามพระ สนามชนไก่ และสนามซ้อมชนไก่ สถานที่จัดประชุมและนิทรรศการ ตลาดทุกประเภท ยกเว้นแผงของสด และแผงค้าที่จำหน่ายอาหารตามความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ห้างสรรพสินค้า ยกเว้นส่วนซูเปอร์มาร์เก็ต
สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย สถานศึกษารัฐ เอกชน โรงเรียนประจำ โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนสอนศาสนา โรงเรียนกวดวิชาทุกแห่ง สถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย ทั้งของรัฐและเอกชน รวมถึงสถาบันอบรมวิชาชีพทั่วกรุงเทพฯ
คำสั่งนี้...ยังคงมีผลต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และยังไม่มีท่าทีว่าจะอนุญาตให้เปิดดำเนินการได้เต็มรูปแบบ หลายจะมีการคาดการณ์ว่า...หลังสิ้นเดือนเมษายนนี้ กรุงเทพมหานครอาจพิจารณาผ่อนปรนในบางกิจการ/สถานประกอบการ เพื่อลดทอนปัญหาความเดือดร้อนของผู้คนจำนวนมาก
ก่อนที่...พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ประกาศ พ.ร.ก.การบริหารภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินฯ และประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศ ห้ามออกจากบ้าน “สี่ทุ่มถึงตีสี่” ยกเว้น! บุคลากรทางการแพทย์และผู้ประกอบวิชาชีพบางกลุ่ม
กลับสู่ประเด็นการคัดกรองของ AI ที่ทำเอาหลายคนจากหลายอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบ ทั้งจากปัญหาโควิด-19 และจากนโยบายของรัฐและหน่วยงานของรัฐ กลายเป็นคน “ไม่ตรงปก” กล่าวคือ กรอกข้อมูลว่าประกอบอาชีพหนึ่ง แต่ AI ดันไปกำหนดตัวตนให้เป็นอีกอาชีพหนึ่ง
แถมเป็นอาชีพที่จะต้องถูกคัดทิ้ง ไม่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท
ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ แต่ AI ระบุเป็น...เกษตรกร บางคนทำงานรับจ้าง...แต่ต้องกลายเป็น นักศึกษา เพราะ AI ระบุอย่างนั้น ทั้งที่อายุเลยหลักสี่ บางคนเข้าใกล้ “ห้าแยกปากเกร็ด” ไปแล้วด้วยซ้ำ
ไม่ใช่แค่...กำหนดตัวตน “ไม่ตรงปก” หากแต่ยังสร้างความล่าช้าต่อการได้รับสิทธิ์ในเงินเยียวยา 5,000 บาท อย่าลืมว่า...นับแต่ที่เปิดให้มีการลงทะเบียนวันแรก เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2563 นั่นก็ช้าไปเกือบสัปดาห์ หลังจากรุงเทพมหานคร ประกาศปิดเมืองฯ แล้ว
ความเดือดร้อนของคน...ที่ต้องกิน ต้องใช้ ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายจิปาถะ ตั้งแต่...สารพัดค่าผ่อน ค่าเช่า และอีกหลายๆ ค่า คนกลุ่มนี้...ต้องการเงินเยียวยา 5,000 บาท อย่างมาก
แน่นอน...บางคนได้ตามกำหนดระยะเวลา ซึ่งก็ยังล่าช้าไปจากการลงทะเบียนวันแรกถึงเกือบ 2 สัปดาห์ เพราะกว่าจะได้เงินก้อนแรก ก็ปาไปเป็นวันที่ 8 เมษายนแล้ว
ใครที่ยังพอมีเงินเหลือใช้ในระหว่างรอเงินจากรัฐบาล ก็รอดตัวไป แต่ใครที่ไม่มีและต้องไปกู้ยืมเงินนอกระบบ ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยแสนแพง ทันทีที่ได้รับเงินเยียวยาฯมา
ทั้งหมดยังนับว่าโชคที่ได้รับเงิน เพราะหลายคน...ไม่ได้รับเงินเยียวยาฯ ไม่ได้เพราะ AI บอกว่าไม่ได้ เพราะไม่ใช่คนที่เดือดร้อนจาก 2 ผลกระทบหลัก
ตัวเลขล่าสุด ที่รัฐบาลได้โอนเงินไปแล้ว และจ่อจะโอนเงินให้ผู้ที่ผ่านเกณฑ์คัดกรองจาก AI ในวันสองวันนี้ ตามที่ นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บอกเอาไว้ก็คือ...ขณะนี้ รัฐบาลได้โอนจ่ายเงินเยียวยาฯไปแล้ว 4.9 ล้านคน และวันอังคารที่ 28 เม.ย.นี้ รัฐบาลจะจ่ายอีก 1.5 ล้านคน
รวมเป็น 6.4 ล้านคน คิดเป็นวงเงินราว 3.2 หมื่นล้านบาท(แม้ล่าสุด มีข่าวจากกระทรวงการคลังแจ้งว่าตัวเลขผู้ที่ได้รับการเยียวยาล่าสุดเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2463 จำนวน 7.4ล้านราย)
ผลการทำงานของ AI ที่ทำการคัดกรองมาตลอด 1 เดือน (28 มีนาคม – 27 เมษายน) คัดคนเดือดร้อนที่ลงทะเบียนฯเอาไว้เกือบ 30 ล้านคน ได้เพียง 6.4 ล้านคน แม้ยังจะมีอีกกว่า 7 ล้านคน ที่รอสิทธิ์รับเงินเยียวยาฯ หลังจากรัฐบาล โดยมติคณะรัฐมนตรี เพิ่งประกาศเพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิ์ฯสูงถึง 14 ล้านคน
แต่เพราะปัญหาความล่าช้าของ AI ก็ไม่รู้ว่า...การคัดกรองคนที่จะได้รับเงินเยียวยาฯ ครบทั้ง 14 ล้านคน จะไปสิ้นสุดลงตรงจุดไหน? และเมื่อใด?
กระนั้น แม้จะมีคนได้รับสิทธิ์นี้ สูงถึง 14 ล้านคน แต่หากเทียบกับคนที่ลงทะเบียนฯเอา 30 ล้านคน อาจมีที่ซ้ำกันบ้าง ซึ่งหากตัดทิ้งไปแล้ว ก็ยังเหลือคนที่เดือดร้อนจริงๆ รวมกันมากกว่า 22 ล้านคน
นั่นหมายความว่า...AI จะต้องคัดคนอีกกว่า 8 ล้านคนทิ้งไป แล้วคนที่ถูก AI คัดทิ้ง...ไม่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท เขาจะอยู่กันอย่างไร? เพราะคนที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ เอาเข้าจริง...ก็อยู่กันแทบไม่ได้ ดีแต่ว่า...มีน้อยดีกว่าไม่มีเสียเลย
นอกจาก...คัดคนได้ “ไม่ตรงปก” คนที่ไม่ควรได้รับเงินเยียวยาฯ กลับได้รับเงิน แต่คนที่ควรจะได้ กลับถูกคัดทิ้ง รวมถึงปัญหาความล่าช้าในการคัดกรองแล้ว กลไกการทำงานและการสั่งการของ AI ยังได้สร้างปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก
สะท้อนไปจากการที่รัฐบาล “ทำงานไป...ปรับแก้ไขไป” กล่าวคือ ต้องเพิ่มช่องทางใหม่ๆ ลงในเว็บไวต์ “เราไม่ทิ้งกัน” อยู่เสมอ...
ไม่ว่าจะเป็น...ปุ่มยื่นทบทวนสิทธิ์ กรณีที่ถูกตัดสิทธิ์จาก AI, ปุ่มยกเลิกการลงทะเบียน/ยกเลิกการทบทวนสิทธิ์, ปุ่มให้ข้อมูลเพิ่มเติม กระทั่ง ล่าสุด กับปุ่มสีชมพูด นั่นคือ...ปุ่มสละสิทธิ์
ก่อนหน้านี้ “โฆษกกระทรวงการคลัง” นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า มีคนใจดี เห็นคนที่เดือดร้อนมากกว่า จึงอยากจะโอนเงินคืนให้ เพื่อให้รัฐบาลนำเงิน 5,000 บาท ไปมอบให้คนที่เดือดร้อนมากกว่า รวมถึงญาติของผู้เสียชีวิต แต่ได้รับสิทธิ์เพราะลงทะเบียนฯเอาไว้ก่อนจะเสียชีวิต ก็พร้อมจะโอนเงินคืนให้...ด้วยเหตุเดียวกัน
“สำนักข่าวเนตรทิพย์” เชื่อว่า...มีคนกลุ่มนี้อยู่จริง แต่คงไม่มาก และเหตุผลแท้จริงที่รัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง จำต้องเร่งรีบเพิ่ม “ปุ่มสีชมพู” ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ “โฆษกกระทรวงการคลัง” บอก แต่ที่ต้องเพิ่ม “ปุ่มสีชมพู” ก็เพราะ...มีการโอนเงินผิดคน
บางคนเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ บางคนอยู่ในมาตรการ 33 ของระบบประกันสังคม บางคนมีงานทำมีรายได้และไม่เดือดร้อน บางคนเป็นเกษตรกร บางคนยกเลิกการลงทะเบียนไปแล้ว สารพัด แต่ AI ก็สั่งให้มีการโอนเงินเยียวยาฯไปให้กับคนกลุ่มนี้
มันจึงเกิดข้อสงสัยและคำถามตามมามากกว่าว่า...รัฐบาลนำระบบ AI มาใช้จริงหรือ? ถ้าจริง... AI ที่นำมาใช้ มีมาตรการเดียวกับ AI ที่ทั่วโลกเขาใช้กันหรือไม่? เพราะมันได้สร้างปัญหาตามมามากมายเสียเหลือเกิน
ก็อย่าแปลกใจ! ถ้าจะมีใครในประเทศนี้ เรียกระบบ AI ที่รัฐบาลนำมาใช้ในการคัดกรองผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยา 5,000 บาทว่าเป็น...
“idiot AI...อัจฉริยะปัญญานิ่ม” แล้วกัน...
เพราะผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน มันเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของคนไทยและคนทั่วโลกไปแล้ว...