เผยบริษัทพลังงานพาเหรดแจ้งผลประกอบการไตรมาสแรกแฮปปี้ถ้วนหน้า ไล่จาก “Banpu” ลบคำปรามาสหุ้นดาวดับกำไรกระฉูด 1,712 ล้าน หรือพุ่ง 90% ด้าน ”BCPG” - “SPCG” ซดกำไร 574 ล้าน และ 837 ล้านตามลำดับ
“บ้านปู” กระฉูดพุ่ง 1,712 ล้าน!
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ระบุว่า บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ “Banpu” รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/63 มีกำไรสุทธิ 1,712 ล้านบาท หรือเพิ่มสูงขึ้น 90% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 905 ล้านบาท เนื่องจากได้กำไรจากธุรกิจไฟฟ้าและกำไรอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนสูงถึง 112 ล้านดอลลาร์ จากทิศทางค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วเทียบกับดอลลาร์ ประกอบกับ EBITDA จากธุรกิจไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นกว่า 485%
Banpu มีรายได้จากการขายรวมจำนวน 633 ล้านดอลลาร์ หรือลดลงจำนวน 66 ล้านดอลลาร์จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากธุรกิจถ่านหินลดลง 51 ล้านดอลลาร์ แม้ปริมาณขายถ่านหินเพิ่มขึ้นเป็น 8.8 ล้านตัน แต่ราคาขายลดลง 17% เหลือ 59.58 ดอลลาร์ต่อตัน
ส่วนรายได้จากธุรกิจก๊าซลดลง 18 ล้านดอลลาร์ แม้มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น แต่ราคาขายเฉลี่ยลดลง และรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มขึ้น 2 ล้านดอลลาร์
ขณะที่บริษัทมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ในไตรมาส 1 ปี 2563 คิดเป็น 134 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า EBITDA จากธุรกิจถ่านหิน 77 ล้านดอลลาร์ (ลดลง 29%) EBITDA จากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ 1.4 ล้านดอลลาร์ (ลดลง 89%) และ EBITDA จากธุรกิจไฟฟ้า 55 ล้านดอลลาร์ (เพิ่มขึ้น 485%)
อย่างไรก็ตาม จากการรายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกของ Banpu ที่มีกำไร 1,712 ล้านบาท หรือพุ่งสูงขึ้นถึง 90%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้ส่งผลเชิงบวกต่อการซื้อขายหุ้น Banpu ในช่วงเช้าทันที โดยมูลราคาหุ้นพุ่งชนซิลลิ่ง 6.35 บาทต่อหุ้น มีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 1,614 ล้านบาท (ข้อมูลปิดการซื้อขายในช่วงเวลา 15.32 น.)
BCPG ซดกำไร 574 ล้าน!
บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2563 มีกำไรสุทธิประมาณ 574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.7 จากไตรมาสที่ 1/2562 สาเหตุหลักมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 325 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2562 ร้อยละ 9.7
โดย นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 1/2563 บริษัทฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่องและมีผลการดำเนินงานที่ดี มีการรับรู้รายได้เต็มไตรมาส จากการเข้าซื้อและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในหลายโครงการ ได้แก่
(1) โครงการ “ลมลิกอร์” เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในเดือนเมษายน 2562
(2) โครงการ “Nam San 3A” เข้าซื้อในเดือน กันยายน 2562
(3) โครงการโซลาร์ลอยน้ำ และติดตั้งบนพื้นดิน ภาคเอกชน “บางปะอิน” เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในเดือนพฤศจิกายน 2562
(4) โครงการ “Nam San 3B” เข้าซื้อในเดือน กุมภาพันธ์ 2563 ทำให้ในไตรมาสที่ 1/2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 886 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2562 ร้อยละ 9.7 และ EBITDA รวมอยู่ที่ 825 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.8
หากคิดเป็นผลกำไรแล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 574 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 82 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.7 สาเหตุหลักมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 325ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 38 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 42,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 จำนวน 5,354 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.4 สาเหตุหลักมาจากการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “Nam San 3B” ที่ สปป.ลาว ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2563
“ผลงานไตรมาสแรกถือเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีสำหรับบีซีพีจี สำหรับในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ยังคงขยายธุรกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ โดยเน้นความสำคัญของการนำนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการพลังงานสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน”
ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน บริษัทฯ ได้ดำเนินการต่อยอดเทคโนโลยีให้มีความหลากหลาย และขยายฐานธุรกิจของบริษัทฯ ไปยังประเทศต่างๆ ครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชีย มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะทำให้รายได้ของบริษัทฯ มีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างสมดุลของความหลากหลายของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของบริษัทฯ อีกด้วย” นายบัณฑิตกล่าวทิ้งท้าย
SPCG กำไร 873 ล้าน!
ดร.วันดี เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขณะนี้ยังเดินหน้าต่อเนื่อง โดยผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 มีรายได้รวมจากการขาย จำนวน 1,454.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 837.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากจำนวนกระแสไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายได้ของโซลาร์ฟาร์มทั้ง 36 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับธุรกิจโซลาร์รูฟที่ดำเนินการผ่าน บริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR) (บริษัทในเครือ SPCG) ซึ่งดำเนินธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) สำหรับบ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ และโรงงานอุตสาหกรรม มีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 72
ดร.วันดี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของธุรกิจโซลาร์รูฟ ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้อย่างก้าวกระโดด เนื่องจากได้ต่อยอดความสำเร็จโดยพัฒนาการลงทุน Solar Roof ในรูปแบบ Leasing กับสถาบันการเงินได้ระยะเวลายาวนานถึง 15 ปี โดยได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟ) ร่วมกับบริษัท มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ลิส แอนด์ ไฟแนนซ์ จำกัด (MUL) บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) และบริษัท เคียวเซร่า คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น (Kyocera) เพื่อเพิ่มศักยภาพ และโอกาสการลงทุน Solar Roof สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย เนื่องจากในแต่ละวันโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) นั้น จะเข้ามามีส่วนช่วยในการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าได้เป็นอย่างมาก สามารถนำพลังงานที่ผลิตได้จากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ มาใช้เป็นพลังงานหลักในเวลากลางวันได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้นและยังมีส่วนช่วยในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาภาวะโลกร้อนอีกด้วย จึงเชื่อมั่นว่า ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) นั้นจะได้รับความนิยมแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นต่อไป
ในส่วนของธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม SPCG ได้ลงทุนร่วมกับบริษัท เคียวเซร่า คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น (Kyocera), Kyudenko Corporation, Tokyo Century Corporation, Furukawa Electric Company Limited, Tsuboi Corporation เพื่อพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์ม “Ukujima Mega Solar Project” ขนาดกำลังการผลิตรวม 480 เมกะวัตต์ ณ เกาะ Ukujima เมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 2,700 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.92% โดยมีกำหนดการพัฒนาโครงการแล้วเสร็จในปี 2566 ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการชำระทุนครั้งที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 1,420,242,567 เยน เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 และจะชำระทุนครั้งที่ 2 เป็นจำนวนเงิน 1,924,187,000 เยน ภายในเดือนพฤษภาคม 2563
ทั้งนี้ ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ได้มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท หรือในสกุลเงินอื่นในจำนวนที่เทียบเท่า เพื่อเป็นการสนับสนุนการขยายธุรกิจและการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทฯ