
เผยบอร์ดอีอีซีไฟเขียวกลุ่มกิจการร่วมค้า "บีบีเอส" ลุยไฟสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกเต็มสูบแล้ว
โดยที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2563 วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563 ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณา โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออกมูลค่า 290,000 ล้านบาท ในพื้นที่ 6,500 ไร่ บริเวณสนามบินอู่ตะเภา โดยมี 6 กิจกรรมสำคัญ ประกอบด้วย 1) อาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 (Passenger Terminal Building 3) 2) ศูนย์ธุรกิจการค้าและการขนส่งภาคพื้นดิน (Commercial Gateway and Ground Transportation Centre) 3) ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul) 4) เขตประกอบการค้าเสรี และเขตธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (Cargo Village or Free Trade Zone) 5) ศูนย์ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ (Cargo Complex) และ 6) ศูนย์ฝึกอบรมการบิน (Aviation Training Centre)

ทั้งนี้ คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งมีผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานได้ ประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนโครงการดังกล่าว โดย มีเอกชนมาซื้อเอกสาร 42 บริษัท และเข้ายื่นข้อเสนอ 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส (BBS Joint Venture) ประกอบด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (Lead Firm) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยเสนอ Narita International Airport Corporation เป็นผู้รับจ้างในการบริหารสนามบิน
กลุ่ม Grand Consortium ประกอบด้วย บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) (Lead Firm) บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด โดยเสนอ GMR Airport Limited (GAL) เป็นผู้รับจ้างในการบริหารสนามบิน
และ กลุ่มกิจการค้าร่วม บริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร ประกอบด้วย บริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด (Lead Firm) บริษัท Orient Success International Limited บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ช.การช่าง จํากัด (มหาชน) และบริษัท บี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด โดยเสนอ Fraport AG เป็นผู้รับจ้างในการบริหารสนามบิน
ก่อนที่ในท้ายที่สุด กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอสเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกโดยได้เสนอราคาเป็นจำนวนเงินประกันผลตอบแทนตลอดอายุสัญญาร่วมทุน 50 ปีจำนวน 305,555 ล้านบาท
และคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกฯ ได้ดำเนินการเจรจากับกลุ่มเอกชนรายดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 19 ครั้ง ภายใต้กรอบของเอกสารการคัดเลือกเอกชนฯ หลักการโครงการที่ กพอ. ได้เห็นชอบไว้ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จนกระทั่งแล้วเสร็จ และจัดส่งร่างสัญญาร่วมลงทุนให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 63 และได้ดำเนินการจัดทำร่างสัญญาร่วมลงทุนตามข้อสังเกตที่อันการสูงสุดเห็นชอบแล้ว จึงนำเสนอเข้า ประชุมคณะกรรมการนโยบาย (กพอ.)

เนื่องจาก “โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก” เป็นโครงการที่มีความสำคัญและเกี่ยวพันกับ “โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน” เป็น “โครงการร่วมที่สร้างประโยชน์ให้กันและกัน” ดังนั้น เพื่อให้การพัฒนาโครงการ และการให้บริการทั้ง 2 โครงการเป็นไปอย่างสอดคล้องเชื่อมโยง จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการร่วมประสานงาน โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดเชื่อมโยงแผนงานการก่อสร้าง และแผนการเปิดบริการให้สอดคล้องหรือพร้อมกันได้หากปราศจากโครงการใดโครงการหนึ่ง ประเทศและประชาชนจะได้รับประโยชน์ไม่เต็มที่
