ช่วงนี้กระแสการจัดอบรมเงินตราดิจิทัลกลับมาแรงอีกครั้ง หลังจากกฎเกณฑ์จากภาครัฐเริ่มชัดมากขึ้น จะว่าไปสินทรัพย์จากแนวคิดกระจายการบริหารจากส่วนกลางมีมาเป็นระยะ เช่น..“เบี้ยกุดชุม จังหวัดยโสธรในไทย ระบบไทม์ดอลลาร์ ที่เริ่มในฟลอริดา สหรัฐ ระบบอิทาคาอาวร์ นิวยอร์ก สหรัฐ ระบบคิวริทิบา ในบราซิล ระบบเครดิตชั่วโมง ฮูเรอาอิ คิปปุ หรือบัตรเอื้ออาทร ในญี่ปุ่น”ซึ่งเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนที่เกิดจากการยอมรับร่วมกันในชุมชน!ดังนั้น เมื่อเทคโนโลยีเชื่อมชุมชนไซเบอร์กันได้ทั่วโลก กอปรกับวิกฤติการเงินปี 2551 หรือ ค.ศ.2008 ที่รู้จักกันทั่วไปว่าวิกฤติซับไพร์ม ซึ่งสร้างความเสียหายระดับล้านล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เกิดคำถามกับจริยธรรมของมนุษย์ที่เป็นผู้บริหารถึงความไว้วางใจได้ในการถ่ายโอนมูลค่าสินทรัพย์ จึงทำให้เกิดซอฟต์แวร์บิตคอยน์ ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่เป็นฐานข้อมูลซึ่งเป็นการไหลของสินทรัพย์เสมือนเป็นสมุดบัญชีดิจิทัล เพราะบล็อกเชนบิตคอยน์ เป็นฐานข้อมูลแบบกระจายจากศูนย์กลาง ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยมีโพรโทคอล ปรู๊พ-ออฟ-เวิร์ค (PoW) ผูกแนวคิดคอมพิวเตอร์แบบกระจาย ใช้การเข้ารหัสและเป็นฐานข้อมูลที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้เข้าด้วยกันนี่คือการวิธีทำให้คอมพิวเตอร์ที่สนับสนุนบิตคอยน์ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก สามารถเห็นพ้องกันได้ว่า จะเพิ่มธุรกรรมกลุ่มใด เข้าไปในบล็อกเชน หรือ PoW เป็นกลไกที่เกี่ยวกับการรวมธุรกรรมที่เป็นบล็อกและผูกกลุ่มก้อนเหล่านนี้เข้าเป็นบล็อกเชนบิตคอยน์ เหมือนกับแนวคิดของเงินตราชุมชนที่ต้องเกิดจากการยอมรับของชุมชนนั้น โดยแรงจูงใจคอมพิวเตอร์ที่ร่วมสนับสนุนบล็อกเชน หรือนักขุด (miner) จะใช้ PoW แข่งกันเข้ามาให้ได้สิทธิ์เพิ่มบล็อกธุรกรรมเข้าไปในบล็อกเชน เมื่อนักขุดได้สิทธิ์เพิ่มบล็อกเขาจะได้บิตคอยน์เป็นค่าตอบแทน ซึ่งส่วนนี้ทำให้ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนธุรกรรมบนบล็อกเชน ต้องสู้กับนักขุดจำนวนมากที่กระจายอยู่ทั่วโลกแข่งกันไขปริศนาที่เข้ารหัสไว้ จึงทำให้บล็อกเชนบิตคอยน์ปลอดภัย ตามการคำนวณแบบตรงไปตรงมาของคอมพิวเตอร์ มากว่าไปพึ่งจริยธรรมของผู้บริหารที่เป็นมนุษย์ประเด็นนี้อาจทำให้บางส่วนกังขา มองบิตคอยน์บล็อกเชน เป็นพวกจับเสือมือเปล่า เป็นพวกแชร์ลูกโซ่ หลังจากบิตคอยน์บล็อกเชนผ่านการเติบโตในยุดแรกซึ่งเป็นยุคต้นแบบ เข้ายุคที่สองที่ขยายตัวมาก แต่มีเรื่องไม่ดีเพราะพวกธุรกิจบาป เช่นกลุ่มค้ายาเสพติด การพนัน การค้าอาวุธในตลาดมืด เข้ามาใช้บิตคอยน์บล็อกเชนทำธุรกรรมผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก จนมีการสะสางพิสูจน์กันจนถึงยุคที่สามเข้าสู่ธุรกิจถูกกฎหมายในโอกาสที่มาถึงนี้ จึงต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนจะควักกระเป๋าไปลงทุน เพราะธรรมชาติของการลงทุนเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซี่พวกนี้ ส่วนใหญ่ช่วงต้น จะมีความผันผวนเหวี่ยงรุนแรงมาก ขึ้นลงกันทีละหลายเท่าตัวหรือหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ แทบจะทำให้เศรษฐีร่วงลงมาเป็นยาจกได้ในชั่วข้ามคืน ซึ่งการลงทุนของสินทรัพย์ดิจิทัล ภาพรวมคล้ายการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีการลงทุนแบบพื้นฐาน การลงทุนเชิงเทคนิค การลงทุนผ่านกองทุนรวม การลงทุนซื้อคอมพิวเตอร์มาขุดเอง การลงทุนในเหมืองขุดเงินดิจิทัล เช่นการวิเคราะห์พื้นฐานเพื่อประเมินสินทรัพย์ดิจิทัล จะพิจารณา อาทิ รายงานการนำเสนอ หรือไวท์เปเปอร์ การกระจายศูนย์ การตีมูลค่า ชุมชนและนักพัฒนา ความเกี่ยวพันกับสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น โมเดลการออกสินทรัพย์ ส่วนการวิเคราะห์เชิงเทคนิค เช่นการประเมินมูลค่าว่า ตลาดยินดีจ่ายค่าใช้ประโยชน์จากบิตคอยน์บล็อกเชนในการทำธุรกรรมแค่ไหน เพื่อนำไปหารมูลค่าเครือข่ายสินทรัพย์ ปริมาณธุรกรรมต่อวัน ถ้าข้อมูลเครือข่ายมากกว่าปริมาณการทำธุรกรรม หมายถึงว่าราคาสินทรัพย์สูงกว่าประโยชน์ใช้สอย เหมือนกับเป็น PE ของสินทรัพย์ดิจิทัล โดยใช้ธุรกรรมเป็นตัวหารมูลค่าเครือข่าย แทนค่า PE ในตลาดหุ้นที่ใช้รายได้เป็นตัวหารภาพรวมทั้งหมดจึงต้องศึกษาอย่างเข้มข้น กว่า 10 ปีที่สินทรัพย์ดิจิทัลล้มลุกคลุกคลานมา ขณะนี้ถึงจังหวะเสี่ยงแล้วคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน เปิดใจรับทุกโอกาสอย่างมีสติโดย-คนฝั่งธนฯ