นับจากวันนี้ไปอีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ คือ..วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 จะเป็นวันที่ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะพ้นจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ หลังจากเจ้าตัวได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งต่อประธาน กสทช. ไปตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการจัดประมูลคลื่นความถี่ 5 จี ที่สามารถดึงรายได้เข้ารัฐไปได้นับแสนล้านบาท
เดิมนั้นเลขาธิการ กสทช.ตั้งใจจะลาออกตั้งแต่ 18 พฤษภาคม 2563 แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้หน่วยงานของรัฐต่างต้องเฟ้นหามาตรการป้องกัน และรับมือกับการระบาดเชื้อไวรัสดังกล่าว รวมทั้งหามาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อดังกล่าวอย่างเร่งด่วน พลเอกสุกิจ ขมะสุนทร ประธาน กสทช.จึงได้ยับยั้งการลาออกของเลขาธิการ กสทช.และร้องขอให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 63 และให้ใบลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป
การประกาศไขก๊อกลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ของนายฐากรนั้น ได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์อย่างกว้างขวาง เพราะในขณะที่ กสทช. ประสบผลสำเร็จในการจัดประมูลคลื่นความถี่ 5จี จนสามารถดึงรายได้เข้ารัฐได้มากถึง 100,521 ล้านบาท ที่ถือเป็น ”ผลงานชิ้นโบแดง” ที่ลบคำสบประมาทของผู้คนในแวดวงโทรคมนาคมในเวลานั้น ที่เชื่อว่าบริษัทสื่อสารน้อยใหญ่คงเมินเข้าร่วมประมูล จนมีการเสนอให้เลื่อนการประมูล 5จี ออกไปปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า แต่เลขาธิการ กสทช. กลับยืนยันให้จัดประมูลคลื่น 5จี ไปตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ เพราะต้องการให้ประเทศไทยเปิดให้บริการ 5จี ในเชิงพาณิชย์ได้เป็นประเทศแรกในภูมิภาคนี้ ไม่ต้องการให้ไทยต้องตกขบวน 5จี ล้าหลังประเทศอื่นๆ เช่นในอดีตอีก
ขณะที่บางกระแสมองว่าเหตุผลการลาออกของเลขาธิการ กสทช.นั้น เพราะเดินทางมาถึงเป้าหมายและประสบผลสำเร็จในภารกิจต่างๆ ที่เป็นเรื่องท้าทายที่สุดในชีวิตแล้ว อีกทั้งเจ้าตัวก็นั่งตำแหน่งเลขาธิการ กสทช.นี้ มาถึง 2 สมัยระยะเวลามากกว่า 8 ปีเข้าไปแล้ว ไม่รวมกับที่ทำหน้าที่รักษาการเลขาธิการ กทช.ในช่วงที่หน่วยงานแห่งนี้ยังเป็นเพียงคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จึงอยากหาโอกาสไปทำงานในตำแหน่งอื่นที่มีความท้าทายมากกว่า..
แต่ไม่ว่าอย่างไร การตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ของนายฐากรในครั้งนี้ ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อกลางปี 2558 นายฐากร ก็เคยยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งต่อ พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานกรรมการ กสทช. ในเวลานั้นมาแล้ว แต่ถูกระงับยับยั้งเอาไว้เช่นกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาเป็นตัวจักรสำคัญในการผลักดันการประมูล 4G ที่อยู่ในระหว่างการจัดทำร่างประกาศ หากลาออกจากตำแหน่งจะส่งผลต่อการจัดประมูลคลื่น 4จี ที่กำลังจะมีขึ้น จึงได้ยับยั้งการลาออกในครั้งนั้น และขอให้ทำหน้าที่ต่อไป
อันเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า เลขาธิการ กสทช.ผู้นี้ ”ไม่ได้ติดยึดอยู่กับอำนาจหรือตำแหน่งหัวโขน” แต่อย่างใด และพร้อมที่จะเสียสละเปิดทางให้แก่คนรุ่นใหม่ก้าวเข้ามาแทนที่หรือทำหน้าที่แทนตนได้ทุกเวลา
ในส่วนของผู้บริหารสำนักงาน กสทช. และผู้ใต้บังคับบัญชาที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับเลขาธิการ กสทช.ผู้นี้ ต่างอกสั่นขวัญหายไปกับการที่เจ้าตัวได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพราะตลอดช่วงที่เขาทำหน้าที่เป็นแม่บ้านใหญ่องค์กร กสทช.นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชื่อเสียงของ กสทช.นั้น ปรากฏอยู่บนสื่อเป็นรายวันจน ”ติดลมบน”
ขณะที่ผลงานสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประมูลคลื่นความถี่และออกใบอนุญาต 3จี, 4จี และ 5จีนั้น หากคิดเฉพาะเม็ดเงินรายได้เข้ารัฐช่วงที่เขาทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองหลักของการขับเคลื่อนประมูลนั้น สามารถดึงรายได้เข้ารัฐได้มากกว่า 500,000 ล้านบาท สามารถผลักดันให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศจากที่เคยอยู่ล้าหลังเพื่อนบ้านในอาเซียน มาอยู่ ”แถวหน้า” และเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
เส้นทางการผลักดันให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยจากที่เคยล้าหลังเพื่อนบ้าน จนผงาดขึ้นมาอยู่แถวหน้าของอาเซียนนั้น ต้องเผชิญกับอุปสรรคขวากหนามมากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องที่น่าศึกษาและติดตามเป็นอย่างยิ่ง เราจะนำเสนอเรื่องดังกล่าวผ่านผลงานของเลขาธิการ กสทช. ผู้ที่กำลังจะก้าวลงจากหลังเสือผู้นี้!
(โปรดติดตามตอนที่ 2)