ย้อนหลังกลับไปในช่วงทศวรรษก่อนปี 2555 ที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้จัดประมูลคลื่นความถี่ 3จี บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิร์ตส์ (GHz) สำเร็จลุล่วงได้นั้น กล่าวได้ว่า อุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยยังล้าหลังตามไม่ทันเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้
ทั้งที่ประเทศไทยได้เตรียมการประมูลเพื่อออกใบอนุญาต 3จี มาตั้งแต่ปี 2549 ก่อนประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ แต่เพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และด้วยกระบวนการประมูลคลื่น 3จี ที่ กทช.ดำเนินการไปถูกร้องเรียน ปรับเปลี่ยนและถึงขั้นฟ้องศาลปกครองให้ระงับกระบวนการประมูลเอาไว้ จึงทำให้เส้นทางการประมูลเพื่ออกใบอนุญาต 3จี ของไทยต้องล้มลุกคลุกคลานเลื่อนแล้วเลื่อนอีก จนเกือบจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศสุดท้ายที่เปิดให้บริการ 3จี เลยก็ว่าได้
เพราะห้วงเวลานั้นทั่วโลกมีการเปิดให้บริการ 3จี ไปแล้วกว่า 150 ประเทศทั่วโลก และอีกกว่า 50 ประเทศ เริ่มทดลองเทคโนโลยี 4จี กันไปแล้ว แม้แต่เพื่อนบ้าน สปป.ลาว กัมพูชา และพม่า ต่างก็เปิดให้บริการระบบ 3จี ไปก่อนไทยทั้งสิ้น เราเคยได้ยินเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว ป้องปากข้ามโขงเตรียมดีเดย์เปิดให้บริการ 4จี เป็นครั้งแรก และพร้อมจะเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงไทยในการจัดประมูลคลื่น 3จี เสียด้วยซ้ำ
เมื่อ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2555 ภายหลังการปรับโครงสร้างองค์กรกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเข้าเป็นองค์กรเดียวกันตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ปี 2553 เส้นทางการประมูล 3จี ของประเทศไทย จึงเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม หลังจาก กสทช. ลุยเคลียร์หน้าเสื่อประเด็นปัญหาต่างๆ ทั้งการจัดทำแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ตารางบริหารคลื่นความถี่ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการประมูล จนนำไปสู่การประมูล 3จี บนคลื่น 2100 MHz ได้ในเดือนตุลาคม 2555 และสามารถจัดประมูลคลื่น 3จี ออกไปได้หมด ดึงรายได้จากการประมูลเข้ารัฐถึง 41,625 ล้านบาท ที่นับได้ว่าสูงที่สุดในภูมิภาคนี้ และสูงกว่าหลายสิบประเทศที่มีการเปิดประมูลคลื่นดังกล่าวไปก่อนหน้า
ผลของความพยายามอย่างหนักของ กสทช. ในเวลานั้น ได้ทำให้เทคโนโลยี 3จี กลายเป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่เข้ามาพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศครั้งยิ่งใหญ่ ตลาดมือถือเข้ามามีบทบาทกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของผู้คน และสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 500,000 ล้านบาท
เมื่อ กสทช. จัดประมูลคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ ในปี 2558 ตามมาก็สามารถดึงรายได้จากการประมูลเข้าคลังได้สูงถึง 80,778 ล้านบาท และในปีเดียวกันยังได้จัดการประมูลเพื่อออกใบอนุญาต 4จี บนคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ ที่ถือเป็นการประมูลครั้งประวัติศาสตร์ที่บริษัทสื่อสารต้องขับเคี่ยวเคาะราคาประมูลกันข้ามวัน ข้ามคืนกว่าจะได้ข้อยุติจนสามารถ ดึงรายได้เงินรวมเข้ารัฐได้มากเป็นประวัติการณ์คือ 151,952 ล้านบาท นับได้สูงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
ก่อนที่ในปี 2562 กสทช. จะจัดประมูลคลื่น 700 MHz ล่วงหน้า ได้เงินเข้ารัฐอีกกว่า 56,544 ล้านบาท และล่าสุดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กสทช.ก็ประสบผลสำเร็จในการจัดประมูลคลื่น 5จี ใน 3 ย่านความถี่ 700 MHz, คลื่น 2600 MHz และคลื่น 26 GHz ที่สามารถดึงรายได้เข้ารัฐได้ถึง 100,521 ล้านบาท จากที่มีการประมาณกาลเอาไว้ก่อนหน้าเพียง 54,000 ล้านบาท
ผลสำเร็จของการจัดประมูลและออกใบอนุญาต 3จี 4จี และ 5จี ในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา ภายใต้การอำนวยการของ ”ฐากร ตัณฑสิทธิ์” นั้น ไม่เพียงจะสามารถดึงรายได้เข้ารัฐได้มากกว่า 490,714 ล้านบาท ประโยชน์ที่ประชาชนคนไทยได้รับอย่างเห็นได้ชัดเป็นรูปธรรม
ก็คือ..ตลาดโทรคมนาคมของประเทศมีการเติบโตและกลายมาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศ ขณะที่โครงสร้างอัตราค่าบริการโทรคมนาคมที่มีการเปลี่ยนผ่านจากยุค 2 จีมาสู่ยุค 3 และ 4 จี ก่อนมาถึงยุค 5 จีในปัจจุบันนั้น เห็นได้ชัดว่า “ประชาชนคนไทยได้รับอานิสงส์จากค่าบริการมือถือที่ต่ำลงมาเป็นลำดับ ค่าบริการมือถือที่เคยสูงถึงนาทีละ 2-3 บาทในช่วงทศวรรษก่อนหน้า ปรับลดลงมาตามลำดับ”
โดยปัจจุบันโครงสร้างอัตราค่าบริการแนบท้ายตามประกาศ กสทช. ว่าด้วยการกำหนดและกำกับดูแลโครงสร้างอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในประเทศ ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 นั้น กำหนดโครงสร้างอัตราค่าบริการไว้ดังนี้ ..
(๑) บริการเสียง (Voice) ไม่เกิน 0.60 บาท/นาที
(๒) บริการข้อความสั้น (SMS) ไม่เกิน 0.89 บาท/นาที
(๓) บริการข้อความมัลติมีเดีย (MMS) ไม่เกิน 2.33 บาท/ข้อความ
และ (๔) บริการอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ (Mobile Internet) ไม่เกิน 0.16 บาท/เมกะไบท์
ผลสำเร็จของการจัดประมูลเพื่อออกใบอนุญาต 3จี, 4จี และ 5จี และผลักดันให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยฝ่าปราการต่างๆ ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมาของ กสทช. ยังทำให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมกลายเป็นปัจจัยหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อีกกว่า 985,720 ล้านบาทด้วย!