ยังคงเป็นประเด็นสุดฮอต ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์
กับเรื่องที่นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งตาม ม.44 เยียวยาให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่กำลังอยู่ในสภาพ "หืดจับหายใจไม่ทั่วท้อง" จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ และพ่วงมาตรการยืดหนี้ค่าธรรมเนียมประมูลคลื่น 4G ให้ค่ายมือถือ
ที่นัยว่า เป็นการอุ้มสมยกผลประโยชน์ชาตินับหมื่นล้านไปให้เอกชน
โดยเฉพาะนักวิชาการอย่าง นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่ออกมาจุดพลุ "ข้อคิด 7 ประการที่คนไทยควรรู้ กับ ม.44 ยืดหนี้ค่ายมือถือ" ระหว่างการสัมมนาสับเละมาตรการดังกล่าวในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
(อ่านรายละเอียดใน: https://www.naewna.com/business/407405)
โดยระบุว่า "... คนไทยทุกคนเสียโอกาสจากการยืดหนี้ 4G และการจัดสรรคลื่น 5G ที่ปราศจากการแข่งขัน ลำพังเฉพาะเงินเกือบ 2 หมื่นล้านบาทที่หายไปจากการยืดหนี้สามารถนำไปใช้เพื่อสร้างโรงพยาบาล พัฒนาโรงเรียน หรือจัดสวัสดิการต่างๆ ให้ประชาชนได้มากมาย
ในฐานะของผู้บริโภค คนไทยทุกคนยังเสียโอกาสในการได้รับบริการ 5G จากตลาดที่มีการแข่งขันมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการรายใหม่ถูกปิดทางเข้าสู่ตลาด จากการจัดสรรคลื่น 5G เฉพาะเจาะจงให้แก่ผู้ประกอบการ 3 รายเดิม...."
ย้อนรอยวาทกรรม... ยกผลประโยชน์ให้เอกชน
สำหรับประชาชนคนไทยนั้น จะว่าไปคงจะไม่อินังขังขอบอะไรกับการออก ม.44 ข้างต้น เพราะมาตรการที่ออกมาแทบจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ หรือให้อานิสงส์ใดๆ กับประชาชนคนไทยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม หากผลของมาตรการที่ออกมาส่งผลให้ประเทศไทย สามารถพัฒนาคลื่น 5G ออกมาให้ประชาชนคนไทยได้ยลโฉม ไม่ต้องล้าหลังเพื่อนบ้าน อย่างคลื่น 3G และ 4G ก่อนหน้านั้น ผู้คนโดยส่วนใหญ่ก็อยากชูจั๊กกะแร้เชียร์เสียด้วยซ้ำ!
จะว่าไปแล้วบรรดาข้อสังเกตหรือข้อกังขาที่นักวิชาการและเครือข่ายภาคประชาชนเหล่านี้ ต่างยกขึ้นมาถล่มโจมตีมาตรการของรัฐ และ กสทช. ต่อการออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการดิจิตอลทีวีและมือถือข้างต้น ก็หาใช่เป็นเรื่องใหม่
ก่อนหน้านี้ กลุ่มเอ็นจีโอประดิษฐ์วาทกรรมเป็นเครื่องมือโจมตีการจัดประมูลคลื่น 3G ที่ กสทช. ดำเนินการไปเมื่อ 10 ปีว่า ทำให้รัฐสูญเสียประโยชน์ไปนับแสนล้านบาทหรือหลายแสนล้านบาทมาแล้ว เพราะตั้งเกณฑ์ราคาประมูลขั้นต้นอาไว้ไม่สอดคล้องกับมูลค่าของคลื่นความถี่ที่ควรจะเป็น
...มาชำแหละกันชัดๆ กับวาทกรรมของ ”สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์” จากทีดีอาร์ไอ ที่ระบุว่า ”การประมูล 3G ไม่ทำให้ค่าบริการถูก” (24 ต.ค. 2555 เวบไซต์ https://www.posttoday.com/market/news/184184) และการโพสต์เฟสบุ๊คของเขาเกี่ยวกับการประมูล 3G ที่ระบุว่า “การประมูล 3G ครั้งนี้ล้มเหลว” เช่นเดียวกับ ”สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. สายเอ็นจีโอ ที่ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว @supinya ที่ระบุว่า “ขอถามทุกท่านว่า ในฐานะเสียงข้างน้อย ข้าพเจ้าควร (เสี่ยง) ร่วมรับรองผลการประมูลคลื่น 2.1 GHz เพื่อชาติไทยไหม #ขอตอบแบบจริงใจนะคะ” (ตามรายละเอียดในเวบบอร์ด K@POOK! 17 ต.ค. 2555 https://hilight.kapook.com/view/77371)
...นักวิชาการชื่อดังจากทีดีอาร์ไอ ยังออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะโจมตี กสทช. ว่า การกำหนดหลักเกณฑ์การประมูล 3G ของ กสทช. เป็นการเอื้อให้ผู้ใช้บริการทั้ง 3 ราย (AIS-TRUE-DTAC) เสนอราคา(ประมูล)ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เงื่อนไขประมูลไม่ทำให้เกิดการแข่งขัน... (เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2555 ตามรายละเอียดในเวบไซต์ http://news.thaipbs.or.th/content/116948)
แต่กาลเวลาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผลของการประมูลคลื่นความถี่ 3G ที่ดำเนินการไปในครั้งนั้น ไม่เพียงจะพลิกโฉมอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศ ยังทำให้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของประชาชนคนไทยไปแล้ว
ในปัจจุบัน ผลพวงของการพัฒนาตลาดโทรคมนาคม 3G ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมกว่า 350,000 ล้านบาท ในระยะหลายปีที่ผ่านมาอีกด้วย
คลื่น 4G เป็นหม้ายไร้คนประมูล
ขณะที่การประมูลคลื่น 4G ที่แม้ราคาประมูลคลื่นที่ได้ในระยะแรกจะสามารถสร้างประวัติศาสตร์สามารถดึงรายได้เข้ารัฐไปกว่า 2.3 แสนล้านบาท แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลพวงของราคาคลื่นความถี่ 4G ที่ประมูลออกไปในราคาสูงลิบลิ่ว ทำให้ค่ายมือถือเริ่มประสบปัญหาด้านการระดมทุน และลงทุนอย่างรุนแรง หลายค่ายถอดใจที่จะไม่เข้าร่วมประมูลคลื่น 5G เนื่องจากต้องแบกรับภาระค่าคลื่นความถี่สูงๆ จนไม่อยู่ในฐานะที่จะระดมทุนได้อีก
หลายค่ายประกาศจะไม่เข้าร่วมประมูลคลื่น 4G ที่ยังหลงเหลืออยู่ รวมทั้งคลื่น 5Gที่ กสทช. มีแผนจะนำออกประมูลในช่วงปี 2562-63 นี้ โดยที่นักวิชาการที่เคยออกโรงคัดค้านโจมตีการจัดประมูลคลื่น 3G การประมูล 4G โผล่มาค้านอีกระลอก
...สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ ยังสวมบทเป็นขาประจำตามวิพากษ์การประมูล 4G โดยย้ำว่า ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เพราะราคาเริ่มต้นประมูลต่ำเกินไป...(เวบไซต์ทีดีอาร์ไอ 5 ส.ค. 2015 https://tdri.or.th/2015/08/20150803/)
แต่ปรากฏว่า ผลกลับตรงกันข้ามผู้ประกอบการค่ายมือถือเสนอราคาประมูลคลื่นสูงเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรก..งานนี้นักวิชาการขาประจำเงียบกริบยิ่งกว่าเป่าสาก!
และที่สำคัญกรณี ”สมเกียรติ” ออกมาชี้ว่า... ”เกณฑ์การประมูลจะคำนึงถึงตัวเงินอย่างเดียวไม่ได้” นั้น (อ้างถึงข่าวเมื่อ 23/03/2015 ในเวบไซต์
https://thainetizen.org/2015/03/digital-economy-against-reform/) ซึ่งก็อดแปลกใจถึงตรรกะที่สวนทางของนักวิชาการท่านนี้ไม่ได้ว่า “เวลามีการประมูลคลื่นในราคาสูงกลับไม่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แต่พอประมูลคลื่นในราคาต่ำ กลับวิพากษ์วิจารณ์ กสทช. อย่างเสียๆ หายๆ”
ที่ผ่านมา กสทช. ต้องงัดมาตรการต่างๆ ทั้งขู่ทั้งปลอบเพื่อหาทางบริหารจัดการและจัดสรรคลื่นความถี่ที่ถือเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดของมวลมนุษยชาติออกไปพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพราะการกอดหรือเก็บคลื่นเอาไว้ โดยไม่มีการจัดสรรนำไปพัฒนา จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อประเทศชาติ
ดังนั้น หนทางในการบริหารจัดการจัดสรรคลื่นความถี่ออกไป พัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ย่อมดีกว่าการเก็บคลื่นเอาไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์
ย้อนรอยรัฐ "เสียค่าโง่"… ให้กับวาทกรรมปล้นชาติ
เมื่อครั้งที่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ผลักดันพระราชกำหนดจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม ก่อนการจัดตั้งคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เมื่อปี 2547 นั้น
ประชาชนคนไทยเอง ก็ได้รับข้อมูลในลักษณะเดียวกันจากเอ็นจีโอและนักวิชาการที่หลากหลายที่ดาหน้าถล่มนโยบายจัดเก็บภาษีสรรพสามิตดังกล่าว
จนถึงขั้นจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ขึ้นมาไล่เบี้ยเอากับนโยบายดังกล่าว จนนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลฎีกา เพื่อยกเลิกกฎหมายดังกล่าว ด้วยข้ออ้างเป็นมาตรการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายเดิม ทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน นำไปสู่การยกเลิกภาษีดังกล่าวตามมาในที่สุด
ผลที่เกิดตามมาหลังการยกเลิกภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมที่จัดเก็บภาษีในอัตรา 10% ของรายได้ประกอบการในทุกเดือนนั้น ไม่เพียงจะทำให้รัฐบาลและคลังต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตมือถือปีละนับหมื่นล้านแล้วไปในระยะ 10 ปีเศษที่ผ่านมานี้
หลังยกเลิกกฎหมายดังกล่าวไป ก็ไม่เห็นจะมีผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมหน้าใหม่รายใดเข้ามาแข่งขันในตลาดมือถือบ้านเราแม้แต่น้อย การประมูลใบอนุญาต 3G และ 4G ยังคงมีแต่ผู้ประกอบการมือถือรายเดิมเข้ามาแข่งขันอยู่ดี
ขณะผลประโยชน์ที่ประเทศต้องสูญเสียไปจากการตกหลุมพรางยกเลิกภาษีสรรพสามิตมือถือไปในครั้งนั้น ที่หากนับเนื่องมาถึงวันนี้น่าจะทะลักเป็นแสนล้านบาท ไม่เห็นจะมีเอ็นจีโอหรือนักวิชาการหน้าไหนยืดอกออกมาแสดงความรับผิดชอบแมัแต่น้อย
วันนี้ วาทกรรมเดียวกันจากเอ็นจีโอเดียวกัน กำลังจุดพลุขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยข้ออ้างการออกคำสั่ง ม.44 ยืดหนี้ให้ค่ายมือถือ เป็นการยกผลประโยชน์นับหมื่นล้านบาทหรือหลายหมื่นล้านบาทให้เอกชน และการยกคลื่น 5G ให้กับค่ายมือถือรายเดิม เป็นการปิดกั้นโอกาสในการแข่งขัน ปิดกั้นผู้ให้บริการหน้าใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาด
ทั้งที่ทุกฝ่ายรู้แก่ใจกันดี ถึงผลพวงจากการที่รัฐมุ่งแต่รีดผลประโยชน์หรือค่าต๋งสูงสุดเข้ารัฐเป็นเกณฑ์ อย่างกรณีการประมูลทีวีดิจิทัลนั้น ท้ายที่สุดแล้วได้ทำให้ผู้ประกอบการทั้งระบบต่างอยู่ในสภาพ "หืดจับหายใจไม่ทั่วท้อง" และต้องหวนกลับมาให้รัฐออกมาตรการเยียวยา
ประเทศไทยไม่สามารถจัดสรรคลื่น 5G ออกไปได้ ต้องเก็บงำเข้าลิ้นชักไว้เช่นเดิม ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ เมื่อเทียบกับการออก ม.44 ยืดหนี้แลกกับเงื่อนไขบีบให้เอกชนนำคลื่นความถี่ออกไปพัฒนาลงทุนนั้น จึงน่าจะเป็นหนทางที่เหมาะสมกว่าหรือไม่
หรือจะต้องให้ประเทศไทยตกหลุมพรางวาทกรรมซ้ำซากของเอ็นจีโอขาประจำ จนต้องทำให้ตกขบวนรถไฟสาย 5G ตามรอย 3G และ 4G อีกหนสาธุชนลองไตร่ตรองดู!