การที่นักวิชาการอย่าง ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ แห่งทีดีอาร์ไอ และเครือข่ายภาคประชาชนต่างดาหน้า ออกมาถล่มพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
กับการออกคำสั่ง ม. 44 เยียวยาผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่พ่วงการยืดหนี้ค่าใบอนุญาตมือถือออกไป 10 ปี โดยระบุว่า เป็นการประเคนผลประโยชน์นับหมื่นล้านไปให้เอกชน และทำให้เห็นว่า มีการนำเอาคำสั่ง ม.44 ไปใช้อย่างขาดความรับผิดชอบผิดไปจากเจตนารมณ์ของกฎหมายพิเศษดังกล่าวนั้น
สำหรับประชาชนโดยทั่วไป และผู้ที่เฝ้าติดตามสถานการณ์การการเมืองทั้งหลาย คงไม่แปลกใจเท่าใดนัก เพราะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทีมนักวิชาการ นักการเมืองตลอดจนเครือข่ายภาคประชาชนและเอ็นจีโอ (NGO) มักต้องทำหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์การดำเนินนโยบายของรัฐในทุกๆ ด้านอยู่แล้ว
แต่กับการเคลื่อนไหวของ "หมอลี่ - นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา" ในตำแหน่งกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ที่ออกโรงซัดคำสั่งของหัวหน้า คสช. ฉบับดังกล่าวเสียงเอง โดยระบุว่า อาจทำให้ทั้งหัวหน้า คสช. และ กสทช. อาจต้องถูกเช็คบิลย้อนหลังในอนาคตนั้น (รายละเอียดในเวบไซต์ https://prachatai.com/journal/2019/04/81913) ทั้งที่ ม.44เดียวกันนั้น ก็มีมาตรการเยียวยาทีวีดิจิทัลที่ให้ยืดหนี้ คืนใบอนุญาตได้โดยไม่ถูกปรับแถมยังได้ชดเชยค่าคลื่นให้อีก แต่ กสทช. ท่านนี้กลับเลือกที่จะไม่วิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ต่อกรณีนี้ แต่เลือกจะแสดงบทฮีโร่กับกรณีเยียวยามือถือขึ้นมาซะงั้น!
ถือเป็นเรื่องที่พลิกความคาดหมาย...และอดสงสัยไม่ได้!
เพราะหากทุกฝ่ายจะได้ย้อนกลับไปพิจารณาที่มาที่ไปของ กสทช. ชุดปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า คณะกรรมการ กสทช. ชุดปัจจุบันนั้น ล้วนก่อกำเนิดมาจากคำสั่งที่หัวหน้า คสช. งัดคำสั่ง ม.44 ที่ 7/2561 (ตามคำสั่ง คสช. รายละเอียด http://library2.parliament.go.th/giventake/content_ncpo/ncpo-head-order7-2561.pdf) ให้ กสทช. ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะนั้นทำหน้าที่ต่อไป
หลังจากที่กระบวนการสรรหากรรมการ กสทช. ชุดใหม่ของสภานิติบัญญัติ (สนช.) ต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า ว่าที่ กสทช. ที่ได้รับการคัดเลือกไม่ผ่านการพิจารณาด้านคุณสมบัติ จนนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต้องตัดสินใจทุบโต๊ะงัด ม.44 ผ่าทางตันให้ กสทช. ชุดเดิมที่ทำหน้าที่อยู่ในเวลานั้น ซึ่งจะต้องพ้นหน้าที่ในเดือนตุลาคม 2561 ได้ทำหน้าที่ต่อไป
การที่กรรมการ กสทช. คนดังกล่าว ลุกขึ้นมา ”สาวไส้ตัวเอง” อาจจะสะท้อนให้เห็นถึง การทำหน้าที่อย่างมีหลักการที่จัดตั้งอยู่บนความถูกต้อง...
แต่อีกด้านหนึ่ง มันย่อมสะท้อนถึงปมซ่อนเร้นอะไรบางอย่างหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่กรรมการท่านนี้ ออกมาโจมตีคำสั่ง ม.44 ที่เป็นคำสั่งเดียวกันกับที่ตั้งตนเองเข้ามาทำหน้าที่ ตรงจุดนี้ก็ยิ่งก่อให้เกิดคำถาม ตามมาว่า กสทช.ท่านนี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่!
เพราะหากนายประวิทย์ ไม่เต็มใจทำหน้าที่ตามคำสั่ง ม.44 หรือไม่สามารถรับได้กับคำสั่งดังกล่าวได้ ก็ให้แปลกใจว่า แล้วเหตุใดจึงยังคงทนทำหน้าที่ หรือ "ร่วมสังฆกรรม" อยู่กับ กสทช. ทั้งชุดที่เหลือ
เหตุใดไม่ตัดสินใจ ยื่นใบลาออกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด เหมือน พ.อ.ดร.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ กรรมการ กสทช. อีกคนตัดสินใจกระโจนเข้าสู่สนามการเมือง ก็ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งอย่างสง่างาม!
หรือว่าเพราะยังห่วงใยผลประโยชน์แอบแฝงอื่นใด ที่ทำให้ต้องทนอยู่กันแน่ เพราะเท่าที่ตรวจสอบดูนั้น ลำพังเงินเดือน เบี้ยเลี้ยงค่าตอบแทนต่างๆ ที่กรรมการ กสทช. แต่ละคนได้รับนั้น กล่าวได้ว่าสูงกว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเสียอีก
อย่างประธาน กสทช. นั้นมีเงินเดือนประมาณ 335,520 บาท กรรมการ กสทช. แต่ละคนประมาณ 269,000 บาท ยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ เป็นต้นว่า งบเดินทางต่างประเทศ ปีละหลายสิบล้าน สิทธิในการบินในชั้น First Class งบรับรองเดือนละ 200,000 บาท ยังไม่รวมสิทธิในการตั้งที่ปรึกษา คณะทำงาน และอนุกรรมการ กินเงินเดือนจากภาษีประชาชนอีกพะเรอเกวียน หรือมีค่าใช้จ่ายให้กับบอร์ด กสทช. ตัวเลขถึง 10 ล้านบาทต่อเดือนเลยทีเดียว!
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.bbc.com/thai/thailand-42855803)
ที่สำคัญ กสทช. แต่ละท่านนั้นยังต้องลงไปกำกับดูแลหน่วยงานอิสระภายใต้ กสทช. อื่นๆ อีกโดยที่ กสทช. แต่ละคนนั้นมีสิทธิ์จะชี้เป็น-ชี้ตาย เลือกทำโครงการที่ยังประโยชน์ให้กับบริวารว่านเครือได้อีกมหาศาล
จะด้วยเพราะเหตุนี้หรือไม่ ถึงทำให้ กสทช. บางคน ถึงแม้จะฝืนใจแสดงบทบาทเข้าทำนอง ”เกลียดปลาไหล แต่กินน้ำแกง” ทำให้เต็มใจที่จะขอ
กอดเก้าอี้ทำหน้าที่ต่อไป!