นวัตกรรมยุคดิจิทัลที่เกิดขึ้นมากมายขณะนี้ เช่นปัญญาประดิษฐ์(AI) เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงค์ (IOT) การเชื่อมต่อยุค 5G ระบบคลาวคอมพิวติ้ง ระบบบล็อกเชน การทำงานอัตโนมัติผ่านหุ่นยนต์โรบอต สมาร์ทโฮม สมาร์ทคาร์ สมาร์ทออฟฟิศ นวัตกรรมดิจิทัลที่ดูแล้วล้ำเหล่านี้ เริ่มโดนตั้งคำถามว่า เป็นนวัตกรรมที่ใช้งานยุคดิจิทัลได้เต็มประสิทธิภาพ หรือยังเป็นเพียงแค่เปลือก ซึ่งยังจินตนาการไม่ทะลุยุคดิจิทัลได้มากพอที่จะอยู่รอดและเจริญร่ำรวยไปกับโอกาสอีกเพียบในอนาคต
หลังจากการปรับตัวรับยุคดิจิทัลส่วนใหญ่ในเมืองไทยรวมถึงแถวหน้าวงการเทคโนโลยีอย่างสหรัฐ บางส่วนยังเป็นการปรับกันแค่ผิวไม่ถึงแก่นกลางหรือโครงสร้างหลักของความเป็นดิจิทัล เห็นได้จากทางเลือกรับมือกระแสดิจิทัลที่เข้ามาคุกคามหรือดีสรัปชั่นเท่าที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นหลักมาจากเทคโนโลยี ทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนไปอย่างมากมาย โดยตามผลกระทบของเทคโนโลยีใหญ่ทั่วไปที่เกิดขึ้น ก็จะมาจากปัญหาของชาวบ้านที่ไม่ได้รับการแก้ไข เป็นเพนพอยท์ชี้จุด ทำให้พวกที่มีไอเดียนำดิจิทัลเข้ามาช่วยแก้ปัญหา หวังช่วยคนสวนใหญ่เกิดเป็นการเปลี่ยนระดับโลก ตามนิยามการเกิดของเทคสตาร์ทอัพ ที่ต้องหาเพนพอยท์ แล้วนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยแก้ โดยระบบนั้นต้องสามารถทำซ้ำ และโตแบบก้าวกระโดดขยายออกไปทำได้นานาชาติ
เมื่อสตาร์ทอัพหลายตัวพิสูจน์ให้เห็นถึงผลกระทบ เช่น กูเกิล เฟสบุ๊ค ยูทูป อเมซอน อาลีบาบา แอร์บีเอ็นบี อูเบอร์ บิทคอยน์ ที่เข้าไปโจมตีธุรกิจแบบดั้งเดิมหลายชนิด ซึ่งทางกลุ่มทุนใหญ่ดั้งเดิม เบื้องต้นก็คิดจะตั้งทีมสตาร์ทอัพหรือตั้งบริษัทลูกขึ้นมาสู้ แต่หลังจากนั้นการใช้ความได้เปรียบด้านทุน มาตั้งเป็นกองทุนนางฟ้าหรือแองเจิลฟัน เข้าไปลงทุนสตาร์ทอัพ ที่มีอนาคตดูจะเป็นรูปแบบหรือโมเดลที่จะเป็นการรับมือ โดนดีสรับชั่นได้ดีกว่า
บนทางเลือกที่องค์กรคิดว่าได้ภาพปรับตัวรับยุคดิจิทัลแล้วดังกล่าว จึงเกิดคำถามว่า โมเดลหรือวิธีที่ปรับตัวกันอยู่ขณะนี้ เป็นการคิดทะลุยุคดิจิทัลแล้วแค่ไหน ยังมีขุมทรัพย์อีกมากมายในยุคดิจิทัลรอให้ค้นหาอีกเท่าใด ซี่งเมื่อได้อ่านความเห็นของ ทอม กู๊ดวิน (TOM GOODWIN) รองประธานฝ่ายบริหารและหัวหน้าฝ่ายนวัตกรรม Zenith Media USA ในหนังสือ DIGITAL DARWINISM ที่โพสต์บุ๊คแปลเป็นภาษาไทย ที่ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนผ่านของโลก แต่ละยุคที่ผ่านมา จะมีประโยชน์ซึ่งคาดไม่ถึงเกิดขึ้นมากกว่าที่คิดกันอีกตรึม โดยตามหลักการเปลี่ยนผ่านแบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่ คือยุคก่อนหรือพรี-ยุคกลาง-ยุคหลังหรือโพสต์ ส่วนใหญ่ยุคหลังของแต่ละช่วง จะเกิดประโยชน์ที่คาดไม่ถึงอีกเพียบ
ตามข้อสังเกตการเปลี่ยนผ่าน จากยุคใช้พลังงานน้ำ ยุคพลังงานไอน้ำ ยุคพลังงานไฟฟ้า มาถึงยุคคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และยุคดิจิทัล นับว่ามีประเด็นที่น่าฉุกคิดพอสะท้อนให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงยุคดิจิทัลปัจจุบันน่าจะยังมองกันไม่ทะลุ โดยเห็นได้จาก ตัวอย่างการเปลี่ยนผ่านยุคใช้พลังงานไฟฟ้าในโรงงาน ที่จากเดิมใช้พลังงานน้ำ ในการหมุนรหัสวิดน้ำเชื่อมกับเพลาไปเป็นตัวหมุนสายพานเครื่องจักรต่างๆ จากนั้นมายุคใช้พลังงานไอน้ำหมุนเพลาไปหมุนเครื่องจักรอื่น ซึ่งตอนนั้นมีการใช้ลูกลอก เกียร์ทดควบคุมความเร็วเครื่องจักร ก็รู้สึกว่าเป็นการปรับตัวรับมือยุคพลังงานไฟฟ้าได้แล้ว
จากนั้นเมื่อมอเตอร์ไฟฟ้าราคาถูกลง การจ่ายกระแสไฟฟ้าเสถียรไม่ติดๆ ดับๆ หลายโรงงานจึงคิดว่านวัตกรรมไฟฟ้า น่าจะช่วยลดต้นทุนพลังงาน ช่วยแก้ปัญหาการออกแบบโรงงานที่ต้องใช้เหตุผลของเครื่องจักรตำแหน่งของเพลาเป็นตัวขับเคลื่อนทำให้ทุกโรงงานอาคารเป็นทรงสี่เหลี่ยมแท่งยาวๆ รวมทั้งการกินพื้นที่ของเครื่องจักรทำให้ไม่มีพื้นที่ลำเลียงสินค้าที่ผลิตได้ ความปลอดภัยจากเสียงจากอุบัติเหตุสายพานที่โยงกัน ความคิดส่วนใหญ่ตอนนั้นมองประโยชน์จากนวัตกรรมยุคไฟฟ้าเพียงแค่นั้น แต่จริงๆ ยังมีประโยชน์ที่จินตนาการกันไม่ถึงอีกมาก เช่น โรงงานเมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าสามารถย้ายมาใกล้แหล่งวัตถุดิบผลิต หรือ ท่าเรือส่งสินค้าทำให้ลดต้นทุนเพิ่มขึ้น สภาพโรงงานที่สว่างสะอาดทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพ สินค้ามีคุณภาพขึ้น ที่สำคัญการเกิดขึ้นของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ซึ่งในยุคก่อนและช่วงกลางยุคไฟฟ้า เชื่อหรือไม่ แค่สวิทช์ไฟแบบติดกำแพงเปิด-ปิดหลอดไฟ บ้านคนทั่วไปยังเห็นเป็นของฟุ่มเฟือย แต่พอถึงหลังยุคไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน สิ่งที่ได้ประโยชน์เกิดขึ้นตามมาอย่างคิดไม่ถึง เช่น เครื่องซักผ้า เครื่องดูดฝุ่น เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ วิทยุ
ดังนั้น คำถามจากต้นเรื่องที่ว่า นวัตกรรมยุคดิจิทัลที่เห็นขณะนี้ เป็นการมองยุคดิจิทัลแค่ก่อนหรือกลางเท่านั้นใช่หรือไม่ จากนี้จึงยังมีโอกาสอีกมากที่จะเกิดขึ้นหลังยุคดิจิทัล เช่นผู้ประกอบการรถยนต์ทั้งหลาย ต่อไปมีการมองกันว่าการทำธุรกิจรถยนต์จะมีการใช้รถยนต์เหมือนการใช้แพกเกจโทรศัพท์มือถือ ซี่งการต่ออายุการเช่าซื้อ อาจมีความสำคัญมากกว่าการซื้อเป็นเจ้าของ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนที่จะให้ถึงแก่นยุคดิจิทัล จึงต้องเป็นการปรับรูปแบบธุรกิจที่ควรจะเป็นในอนาคต งานนี้ไม่ว่าทุนใหญ่หรือเล็ก หากจินตนาการได้ทะลุพฤติกรรมยุคดิจิทัลที่จะเปลี่ยนไปได้ รับรองอนาคตรวยไม่แพ้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ ซึ่งเป็นเจ้าของวาทะ “จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้”
โดย-คนฝั่งธนฯ